การเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยที่มี AI เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ได้มีอิทธิพลต่อแค่วงการคอนเทนต์เท่านั้น แต่อุตสาหกรรมต่าง ๆ ก็ปรับตัวมีการใช้ AI มากขึ้น เช่นเดียวกับโลกการตลาดที่เทรนด์ และความสนใจของผู้บริโภคเปลี่ยนไปอีกครั้งในปีนี้ แต่บทสรุปกลยุทธ์การตลาดกับ ’13 Top Marketing Trends’ จะต้องปรับตัวกันอย่างไร RAiNMaker สรุปมาให้แล้วที่นี่
คอนเทนต์มีหลายแพลตฟอร์ม ธุรกิจก็มีหลายไซซ์ และกลยุทธ์การรับมือกับความคาดหวังของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปก็มีหลายแบบ แต่สำหรับเรื่องของการตลาดแล้ว ทุกอย่างรอบตัวล้วนสามารถนำมาประยุกต์ และพัฒนากลายมาเป็นเทรนด์ได้
แต่ก่อนที่จะมาเป็นเทรนด์เหล่านั้น ทั้งเรื่องของข้อมูล และการ personalized ต่าง ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้แสดงความต้องการ และรู้สึกได้รับความสำคัญจากแบรนด์ คอนเทนต์ หรือธุรกิจก็สำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เชื่อมโยงตั้งแต่เรื่องของการคิดคอนเซปต์ สร้างคอนเทนต์ และแคมเปญ ไปจนถึงการทำสร้างยอดขายด้วย
ใครที่อยากทำการตลาดแบบเข้าใจโลก และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคในปี 2025 มากขึ้น นี่จะเป็น 13 เทรนด์ที่อ่านแล้วจะทำให้กลับไปตั้งคำถาม และได้วางแผนในอนาคตมากขึ้นอย่างแน่นอน
Generative AI changes
ในตอนนี้คงไม่มีแพลตฟอร์ม หรือเทคโนโลยีไหนสร้างอิมแพคให้กับผู้คนทั่วโลกไปมากกว่า Artificial Intelligence (AI) แล้ว เพราะนับตั้งแต่ปี 2024 นักการตลาด หรือนักสร้างคอนเทนต์ในแต่ละอุตสาหกรรมก็เริ่มเรียนรู้การใช้ AI เป็นเครื่องมือ หรือผู้ช่วยมากขึ้นโดยมีสถิติ ดังนี้
Gen AI Adoption in Workplace
- Marketing & Advertising: 37%
- Technology: 35%
- Consulting: 30%
- Teaching: 19%
- Accounting: 16%
- Healthcare: 15%
จากสถิติของการใช้งาน AI ในการทำงานของอเมริกา เรียกได้ว่าจากอุตสาหกรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการตลาด การศึกษา หรือบัญชี และสุขภาพ AI ก็สามารถแทรกซึมเพื่อเข้าไปเป็นผู้ช่วยหลากหลายรูปแบบได้ รวมถึงมีการค้นหาเป็น Seach volume ถึง “AI marketing tools” เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2022 ด้วย โดยมีการใช้ AI ส่วนใหญ่ไปกับ
- Ideation & Brainstorming: แชตบอท AI ที่ได้รับความนิยมที่สุดก็คงเป็น ChatGPT และเจ้าอื่น ๆ ที่ใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) มักจะถูกใช้ในการตั้งต้นไอเดีย หรือการระดมสมองสำหรับการสร้างแคมเปญ หรือานครีเอทีฟเยอะ
- Content Creation: แพลตฟอร์มที่เป็น User-friendly อย่าง Midjourney และ DALL-E มักจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างภาพ หรือการโปรโมตด้วยวิชวลที่ไม่ว่าใครก็สามารถป้อนคำสั่งผ่านพรอมพ์ได้
- Campaign Analysis: AI ช่วยทำให้การวิเคราะห์แคมเปญ รวมถึงผลลัพธ์กลายเป็นเรื่องง่าย และประหยัดเวลามากขึ้น
- Predictions & Forecasting: หากมีข้อมูลที่ถูกต้องประกอบในการใช้ AI จะช่วยให้สามารถพยากรณ์ และคาดการณ์สถานการณ์ในอนาคตได้ เช่น ความสนใจ และความต้องการของผู้บริโภค
Go all-in on TikTok
ตั้งแต่ปี 2024 เป็นต้นมาการค้นหา ‘TikTok’ มีเพิ่มขึ้นถึง 1,825% ใน 5 ปี และมีผู้ใช้ใหม่กว่า 200 ล้านคนในไตรมาสที่ 4 ด้วย ซึ่งนักการตลาดหลายคนมองว่า TikTok เปรียบเสมือนกับสนามคอนเทนต์ และพื้นที่ของเหล่า Gen Z
แต่ก็มีหลายเจ้าที่มองว่าการโปรโมตด้วยคอนเทนต์วิดีโอเป็น TikTok ยังคงเป็นเรื่องยากอยู่ แม้ TikTok จะมีการบูสต์ ‘User Engagement Level’ อยู่เสมอ หรือหันมาโฟกัสด้านการทำธุรกิจ และการตลาดด้วย TikTok Business มากขึ้นก็ตาม โดยมี ‘Targeting Dimension’ คือ
- Age
- Gender
- Location
- Interests
- Purchase intent
AI Personalized Marketing
หากต่อยอดมาจากปี 2024 หลายธุรกิจ และหลายบริษัทจะมีการหันมาใช้ ‘Personalized Markrting’ มากขึ้น เพื่อสร้างการเชื่อมโยง และ Interact ระหว่างแบรนด์ และกลุ่มเป้าหมายได้ลึกมากขึ้นด้วยข้อมูลอินไซต์ที่แบรนด์ค้นพบ
โดยจากสถิติจาก 80% ของผู้บริโภคชอบที่จะเสียเงินให้กับแบรนด์ หรือบริการที่มี Personalized มากขึ้น เพราะเป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ และกว่า 36% ก็ชอบที่จะชอปปิงมีการ Personalized ด้วย
ทำให้ข้อมูลอินไซต์ที่ต้องมีเป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากจะทำให้ 90% ของผู้บริโภคกล้าที่จะแชร์ข้อมูลส่วนตัวของตัวเองกับแบรนด์ เพื่อแลกกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีกว่า หรือการได้ส่วนลด และโปรโมชัน
ซึ่งการมีอัลกอริทึมแบบ ‘AI Recommendations’ ที่คัดเลือก หรือแนะนำได้ถูกต้องตามความต้องการของผู้ใช้กว่า 80% จะทำให้ผู้บริโภคอยากค้นหา หรือค้นพบอะไรใหม่ ๆ มากกว่าที่จะไปใช้แท็บเสิร์ชที่ลดลงเหลือ 20% เท่านั้น อย่าง Netflix หรือ YouTube และ Spotify ที่มีอัลกอริทึมแนะนำ หรือแสดงผลด้วย AI แข็งแรง
E-commerce drives on Instagram
ในเดือนมิถุนายน 2024 แอป Instagram มีผู้ใช้งานที่มี Active users มากถึง 2 พันล้านยูสเซอร์ และกว่าล้านยูสเซอร์ก็มีการแชร์โพสต์กับเพื่อน ๆ กับอีก 36% ที่ติดตามแบรนด์ หรือบริษัทในแอปนี้ พร้อมกับการเข้าไปเยี่ยมชมโปรไฟล์แบบ Business Profile ของแบรนด์นั้นอย่างน้อย 1 ครั้งต่อวันในทุก ๆ วัน
ทำให้ปัจจุบัน Instagram กลายเป็น ‘One-stop Shop’ สำหรับโลก Digital Marketing ไปแล้ว เพราะพื้นที่ใน Instagram นั้นง่ายต่อการทำให้ผู้บริโภคได้เข้าไปทำความรู้จักแบรนด์ และอยู่ในลูปของการซื้อขายได้ไม่ยากในแพลตฟอร์มเดียว
เพราะผู้บริโภคสามารถเจอสินค้าของแบรนด์ได้ ทั้งใน Posts, Reels, Live Broadcast และ Stories หรือจะเป็นที่ลิงก์บนไบโอของแบรนด์ก็ได้เช่นกัน ทำให้ Instagram ได้เปรียบในเรื่องของการยิงแอดบูสต์โพสต์ที่หลากหลาย ทำให้กว่า 29% ของแบรนด์เลือกที่จะทำ E-commerce บน Instagram เพราะได้รับ ROAS (Return on Advertising Spend) หรือผลตอบแทนจากค่าโฆษณาที่ดีด้วย
Influencer Marketing
แม้ Influencer Marketing จะไม่ได้เป็น ‘The Next Big Thing’ ในโลกของการตลาดแล้ว แต่ในความเป็นจริงอินฟลูเอนเซอร์กลับทำให้ผู้คนคุ้นเคยกับโฆษณา และแคมเปญ รวมถึงสร้างความน่าเชื่อถือที่เข้าถึงง่ายได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอินฟลูเอนเซอร์กับแบรนด์เล็ก หรือใหญ่ก็ตาม
โดยกว่า 48% ของ ROI (Return on Investment) ที่แบรนด์ และธุรกิจได้รับก็เพราะทำการตลาดด้วยอินฟลูเอนเซอร์ มากกว่าที่จะโฟกัสไปที่ช่องทางตามแพลตฟอร์มต่าง ๆ
โดยเฉพาะการผสมผสานระหว่างการใช้ ‘Micro-Influencer’ ผู้ติดตามอยู่ระหว่าง 10,000 – 50,000 คน และ ‘Mega-influencers’ อินฟลูเอนเซอร์ระดับ “Celebrity” ที่มีผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียตั้งแต่ 1,000,000 คนขึ้นไป จะช่วยทำให้แคมเปญที่สร้างขึ้นบน Instagram ได้รับยอด Reach และบูสต์เอนเกจเมนต์ได้มากกว่าเดิม
User-generated Content & Ads
User-generated Content (UGC) อาจไม่ใช้เรื่องที่แปลกใหม่สำหรับการตลาดยุคนี้เช่นกัน แต่คอนเทนต์ที่ทำให้ผู้บริโภคได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างคอนเทนต์โปรโมตแบรนด์ยังคงมีการเติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในโลกของ Social Media Marketing
ซึ่งมีสิถิติการค้นหา User-generated Content เป็น 2 เท่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเลยทีเดียว เพราะผู้บริโภคในปัจจุบันกว่า 96% ตอนนี้ไม่เชื่อโฆษณาชวนเชื่อจากแบรนด์แล้ว แต่ 93% เชื่อในคอนเทนต์ที่สร้างโดยผู้คนทั่วไป หรือคอนเทนต์ครีเอเตอร์ และอินฟลูเอนเซอร์มากกว่า
แบรนด์ที่อยากเริ่มทำการตลาด หรือโปรโมตด้วยเทคนิคนี้ ต้องมีอินไซต์ และกล้าที่จะเริ่มการเปลี่ยนแปลงแบรนด์ดิงบางอย่าง เพื่อทำให้แบรนด์มีความ friendly และเข้าถึงผู้คนได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
Video Marketing
ยุคนี้เป็นยุคทองของการทำการตลาดแบบคอนเทนต์วิดีโอเลยก็ว่าได้ เพราะทุกแพลตฟอร์มไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, YouTube, TikTok และ X ต่างก็มีการโฟกัสไปที่คอนเทนต์แบบวิดีโอมากขึ้น เพราะมีการอัปโหลดรวมกันกว่า 500 ชั่วโมงของคอนเทนต์ในทุก ๆ 1 นาทีบน YouTube แพลตฟอร์มที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘video-first social media’ ของทุกคน
ทำให้ตั้งแต่ปี 2024 หลายแบรนด์เริ่มหันมาทำ Video Marketing กันถึง 91% เลยทีเดียว เพราะคอนเทนต์วิดีโอสามารถสร้างรายได้ได้มากกว่า สัมพันธ์กับเทรนด์อย่าง Visual Search ที่ผู้บริโภคอยากที่จะค้นหา และเห็นภาพ หรือคลิปการใช้งาน พร้อมกับผลลัพธ์เพื่อประเมินการใช้จ่ายต่อไปได้ในคอนเทนต์เดียว
หรือแม้กระทั่ง Instagram ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแพลตฟอร์มโพสต์รูปภาพ คอนเทนต์แบบ Reels กลับได้ความนิยมมากที่สุดไปแล้ว เช่นเดียวกับ Shorts ของ YouTube ที่สามารถมีส่วนแบ่งกับคอนเทนต์วิดีโอบน TikTok ได้เช่นกัน จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมช่วงเวลาคอนเทนต์วิดีโอที่ดีที่สุดสำหรับผู้บริโภค จึงต้องไม่ยาวเกิน 2 นาทีนั่นเอง
Visual Search
ในตอนนี้การค้นหาผ่าน Google Search อาจจะทำให้ปีนขึ้นยากกว่าเดิม เพราะผู้บริโภคในปัจจุบันหันไปใช้ AI หรือการค้นหาแบบ ‘Visual Search’ มากขึ้น และสิ่งที่นักการตลาด และโฆษณาทำก็คือการเพิ่มรูปภาพประกอบเข้าไปในผลลัพธ์ของการค้นหาด้วยนั่นเอง
เพราะการมีรูปภาพประกอบทำให้การค้นหาน่าจดจำมากกว่า ซึ่งนักการตลาดกว่า 35% เริ่มแพลนที่จะมี ‘Optimize Visual Search’ เยอะขึ้นในอนาคตแล้ว เนื่องจากความต้องการใน Visual Search ของผู้บริโภคเริ่มเยอะขึ้น เนื่องจากกว่า 74% ของผู้บริโภคมองว่าการค้นหา Text Search เริ่มไม่มีประสิทธิภาพ
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ Google Lens หรือการค้นหาด้วยภาพจึงได้รับความนิยมไปด้วย หลังจากสามารถจดจำรายละเอียดจากภาพ และฐานข้อมูลได้มากถึง 2.5 พันล้านวัตถุ และ Snapchat ก็มีฟีเจอร์แคปองค์ประกอบในภาพ เพื่อซื้อได้ที่ Amazon เช่นกัน
ซึ่งคาดว่านี่จะเป็นการเปลี่ยนแปลง และเติบโตอีกของอุตสาหกรรม Search Engine ที่เปลี่ยนไปตามพฤติกรรมของผู้คน ที่ใช้เวลาไปกับวิชวลมากขึ้น ทั้งการค้นหาที่มีภาพ และคอนเทนต์ที่เป็นวิดีโอนั่นเอง
YouTube Reach Ads
เมื่อผู้บริโภคเริ่มออกห่างจากโฆษณาในโทรทัศน์มากขึ้น และบริษัทโฆษณาต่าง ๆ ก็เริ่มใช้จ่ายน้อยลง YouTube กลับกลายเป็นพาร์ตหนึ่งที่ทำให้วงการโฆษณาสามารถรันยอด Reach ให้ไปต่อได้ โดยเติบโตมากถึง 126% ในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา
ซึ่งนักการตลาดกว่า 52% ในปัจจุบันมักจะใช้ YouTube ในการโฆษาโปรโมตแคมเปญ หรือยิงแอดมากขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่เหล่านักการตลาดอีกครึ่งหนึ่งก็อยากที่จะเรียนรู้เรื่อง YouTube Ads มากขึ้นเช่นกัน
และเพราะ YouTube เป็นแพลตฟอร์มแบบ Full-Funnel ก็ทำให้ยอด Conversions เพิ่มขึ้น 13% ในการใช้จ่ายเรตเดียวกันด้วย
Data Privacy
ข้อมูลส่วนตัวเป็นสิ่งสำคัญที่เมื่อรู้ และเข้าถึงได้แล้วจะช่วยให้แบรนด์ หรือธุรกิจสามารถสร้าง Personalized Content ได้ แต่ตอนนี้ข้อมูลเป็นสิ่งที่แพงขึ้น และเข้าถึงไดยากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว แทนที่จะแลกกับแพลตฟอร์มต่าง ๆ เหมือนแต่ก่อน
ทำให้นักโฆษณา หรือแบรนด์ไหนที่สร้างความน่าเชื่อถือด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวของผู้บริโภคได้ จะได้รับความเชื่อใจมากกว่า เช่น Apple ที่การันตีถึงนโยบายการรักษาข้อมูลส่วนตัว โดยไม่มีการนำไปให้กับ third-party อื่น ๆ
และข้อมูลส่วนตัวที่แบรนด์ และนักการตลาดจะได้รับในยุคนี้ หรือหลังจากนี้ ก็ต้องเป็นข้อมูลส่วนตัวจากการยินยอมของผู้บริโภคเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าในมุมแบรนด์ก็ยากที่จะสานต่อข้อมูลเหล่านั้นมาเป็นอินไซต์การทำกลยุทธ์การตลาดต่อไปด้วย
เพราะฉะนั้นการเก็บข้อมูลแบบ first-party data จึงกลายเป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพื่อนำไปใช้ และต่อยอดในระยะยาว แถมยังถูกเก็บไว้เฉพาะกับบริษัทเท่านั้น โดยไม่ได้เผยแพร่ และมีราคาถูกในการจัดเก็บให้ปลอดภัย
Metaverse is Coming
Metaverse ในยุคแรกที่ Meta ตั้งใจจะสร้างโลกเสมือนขึ้นมาทั้ง AR (Augmented Reality) และ VR (Virtual Reality) ในตอนนั้น คาดว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนของโลก และเทคโนโลยีหลาย ๆ อย่างที่ต้องปรับตัวตาม แต่การเกิดขึ้นของทั้งหมดกลับค่อย ๆ จางลงไป และไม่ได้เป็นสถานการณ์เปลี่ยนเกมอย่างที่คาดไว้
อย่างไรก็ตาม แม้ Metaverse จะยังไม่ถึงเวลาของมันในตอนนี้ ที่ผู้บริโภค และนักการตลาดทุกคนจะพร้อมปรับตัว และสร้างโลกในแบบของตัวเองได้บ่อย ๆ โดย AR จะเป็นสถานที่แบบ Digital Life ให้คนได้ใช้เวลาด้วย และสามารถเห็นโลกเสมือนจริงได้แบบ VR (Virtual Reality)
แต่ทั้ง AR และ VR ที่เสถียร และสามารถจับต้องได้ตอนนี้ยังคงอยู่ในช่วงพัฒนา แต่ Meta ก็ไม่ได้มีการยกเลิก หรือแจะแจ้งว่าจะทำแทนเทคโนโลยีไหน ทำให้คาดว่า Meta ก็สามารถนำโปรเจกต์นี้กลับมาได้ทุกเมื่อที่ต้องการ แต่ในปัจจุบันก็เริ่มมีหลายแบรนด์ เร่ิมใช้ประโยชน์จากการให้ประสบการณ์แบบ AR หรือ VR มากขึ้นแล้ว
Increased Diversity
ไม่าว่าจะเป็นเรื่องของความเท่าเทียม ความแตกต่าง หรือการเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z เป็นต้นไปนั้นให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมมากกว่าเจนอื่น และ Gen Z กว่า 76% ก็พร้อมที่จะซัพพอร์ตแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้ด้วย
โดยเฉพาะการนำเสนอเรื่องความแตกต่างอย่างเท่าเทียมในโฆษณ หรือแคมเปญ เพื่อเพิ่มความเป็นมนุษย์มากขึ้น จะช่วยสร้างความเชื่อใจ จนเกิด ‘Brand Loyalty’ ได้ง่ายกว่าแบรนด์อื่น แถมยังกระตุ้นการสนับสนุนแบรนด์ผ่านการซื้อสินค้า และบริการของแบรนด์ด้วย
โดยนักการตลาดกว่า 90% เห็นด้วยว่ามีรูมไอเดียมากพอที่จะใส่เรื่องของความเป็นมนุษย์ และความเท่าเทียมมากขึ้นเข้าไปได้อย่างแน่นอน แต่การเพิ่มเรื่องเหล่านั้นเข้าไป แบรนด์ต้องมีความเข้าใจ หรือพยายามทำความเข้าใจให้มากที่สุด
มิฉะนั้นเรื่องของความเป็นมนุษย์ หรือความเท่าเทียมที่ใส่เข้าไปจะเป็นเพียงการตลาดเท่านั้น ซึ่งผู้บริโภคยุคนี้แยกออกว่าแบรนด์ไหนสร้างแคมเปญ หรือโฆษณามาจากความเข้าใจ หรือเป็นแค่การทำตามเทรนด์
Chatbot Growth
ปัจจุบัน Search volume เริ่มเต็มไปด้วยแชตบอทที่เติบโตขึ้นสูงถึง 219% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการใช้แชตบอทแตกต่างไปตามความต้องการของแต่ละคนในการค้นหา Personalized data ที่ต้องการ โดยกว่า 40% ของผู้บริโภคอเมริกาสนใจที่จะใช้แชตบอท และอีก 80% มีการ Interact กับแชตบอทอยู่แล้ว
ซึ่งผู้บริโภคที่ใช้แชตบอทมีการใช้หลายรูปแบบ ทั้งการตั้งคำถาม การเพิ่มยอดขาย และหาไอเดียเพื่อเจาะลึกถึงอินไซต์ของผู้บริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะกับการตลาดแบบ B2B กว่า 82% ที่นำแชตบอทเข้ามาช่วยในเรื่องการขาย และสร้างกลยุทธ์การตลาด
ส่วนแชตบอทที่ได้รับความนิยมอย่าง ChatGPT หรือ Messenger ของ Facebook ที่มี AI เข้ามาช่วย ก็ช่วยเพิ่มยอด Conversion ใน Local Business ได้ไม่ยาก ทำให้แชตบอทกลายเป็นคีย์สำคัญที่ช่วยให้แบรนด์ และนักการตลาดประหยัดเวลาด้วย
โดยสรุปแล้วทั้ง 13 เทรนด์การตลาดก็จะมีการดำเนิน และเติบโตต่อไป แต่ความต้องการของผู้บริโภคจะต้องการอะไรที่ปรับแต่ง และควบคุมด้วยตัวเองได้มากขึ้น หน้าที่ของแบรนด์ หรือนักการตลาดก็คือตามหาบาลานซ์ของตัวเอง เพื่อรักษาทั้งเทรนด์ และผู้บริโภคที่ใช่ไปพร้อมกัน