Brand MarketingTips

Avatar

doyoumind November 1, 2021

พาถอดรหัสฟอนต์ 6 แบรนด์ดัง ใช้ฟอนต์อะไรทำไมถึงปัง

‘ฟอนต์’ นับเป็นอีกสิ่งสำคัญในการสื่อสาร โดยเฉพาะเมื่ออยู่บนงานกราฟิก เนื่องจากฟอนต์สามารถส่งผลต่อการรับรู้ และภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้โดยตรง เพราะฉะนั้นจะเอาฟอนต์อะไรก็ได้ไม่ได้!

วันนี้ RAiNMaker เลยพามาส่อง 6 แบรนด์ดังว่าเขาใช้ฟอนต์อะไรกัน และทำไมถึงต้องเลือกใช้ฟอนต์แบบนี้ มาดูไปพร้อมกันเลยดีกว่าค่ะ

Grab

  • Grab Inline

สำหรับ Grab เลือกใช้ฟอนต์ของตัวเอง ที่มีเอกลักษณ์ชัดเจน เพื่อสร้างการจดจำ พร้อมเพิ่มความสนุกสนานให้กับชิ้นงานไม่ให้ดูน่าเบื่อด้วยฟอนต์ที่มีหลายเส้น แถมยังล้อไปกับโลโก้ที่คนคุ้นเคย เพื่อใช้เน้นข้อความในส่วนที่สำคัญ

  • Prompt

ส่วนอีกฟอนต์ คือ ฟอนต์ที่คล้ายกับ Prompt เป็นฟอนต์ที่ไม่มีหัว และขอบมน ทำให้ดูเรียบง่าย ทันสมัย แต่ก็ยังคงความเป็นทางการไว้ด้วย เพื่อใช้ในการสื่อสารให้ผู้คนรู้สึกสบายตาเมื่ออ่าน

Bar B Q Plaza

  • BBQ Plaza Rounded

ด้วยบุคลิกขี้เล่น และเป็นกันเอง จึงเลือกใช้ฟอนต์ขอบมน และเชิญชวนให้อ่าน ที่สำคัญฟอนต์ประเภทนี้ยังเหมาะสำหรับแบรนด์ และสินค้าที่เป็นอาหาร เกี่ยวกับเด็ก หรือครอบครัวอีกด้วย

  • Noto Sans Thai

ส่วนของข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ การใช้ฟอนต์ที่ไม่มีหัว ทำให้เกิดความรู้สึกถึงความเรียบง่าย และเป็นสากล แต่ก็แฝงไปด้วยความทันสมัย

CPALL

  • DB Heavent

เพิ่มความเป็นทางการขึ้นมาหน่อยกับฟอนต์ตระกูล DB Heavent ที่ให้ความรู้สึกเรียบง่าย และเป็นมิตรกับผู้อ่าน

  • Mali

ผสมผสานกับฟอนต์มีหัวที่แอบมีความเหมือนตัวหนังสือในการ์ตูน เพื่อเพิ่มความขี้เล่น อ่านง่าย และเน้นความสนุกสนาน เป็นกันเองมากขึ้น

KFC

  • Kittithada

ใช้ตัวหนาเพื่อดึงความสนใจให้คนหยุดอ่านในส่วนที่ต้องการเน้นย้ำ และฟอนต์ขอบมนให้ความรู้สึกเป็นมิตร ใช้การเล่นตรงขนาดและสีของฟอนต์เพื่อสร้างความแตกต่างของข้อความ

KBank

  • Noto Sans Thai

ฟอนต์ที่ไม่มีหัวให้ความรู้สึกถึงความเรียบง่าย และเป็นสากล มีความเป็นทางการ แต่ก็แฝงไปด้วยความทันสมัย เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องใช้ความน่าเชื่อถือ เหมาะกับข้อมูล

Tops Thailand

  • Sukhumvit

ฟอนต์สไตล์ทันสมัย อ่านง่าย และขอบมน ทำให้ดูเรียบง่าย แต่ก็ยังคงความเป็นทางการไว้ด้วย ใช้ความหนาบางของฟอนต์ในการสร้างความแตกต่าง

จะเห็นว่าแต่ละแบรนด์ที่ยกตัวอย่างมามักเลือกใช้ฟอนต์ไม่เกิน 2 ฟอนต์เท่านั้น แต่จะไปเล่นความแตกต่างตรงขนาด ความหนาบาง  และสี เพื่อให้เกิดมิติแทน เนื่องจากหากใช้ฟอนต์หลายชนิดมากเกินไป จะทำให้คนอ่านเกิดความสับสน ไม่รู้ว่าต้องโฟกัสตรงไหนดี แถมยังทำให้งานกราฟิกออกมาคนละทิศคนละทางได้อีกด้วย

ดังนั้นในการสื่อสารควรจะใช้ฟอนต์เต็มที่แค่ 2-3 ชนิดเท่านั้น และใช้ตัวใหญ่ ตัวหนา เพื่อเน้นเฉพาะจุดสำคัญเท่าที่จำเป็นพอ ส่วนฟอนต์ที่เลือกใช้ก็ควรเป็นฟอนต์ที่เข้ากับภาพลักษณ์ของแบรนด์ และที่สำคัญคือต้องเป็นมิตรกับผู้อ่าน ทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าอ่านง่าย สบายตา เป็นต้น

Copyright © 2024 RAiNMaker. All rights reserved.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save