กฎ 60-30-10 คืออะไร?
เป็นกฎที่ใช้ในการทำ Social Media Marketing เพื่อช่วยให้เกิดอิมแพ็กหรือเกิดเอนเกจเมนต์บนโซเชียลมีเดียได้ดีมากยิ่งขึ้น
โดยปกติแล้วเราควรโพสต์โซเชียลมีเดียอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการเชื่อมต่อและยังให้คนจดจำได้นั่นเอง แต่หลายเพจหรือแบรนด์อาจเกิดปัญหาในเรื่องการแบ่งสัดส่วนคอนเทนต์ได้ไม่เหมาะสมเท่าไหร่นัก
วันนี้เราเลยจะมาแนะนำกฎ 60-30-10 ที่จะช่วยให้การจัดการวางแผนการทำคอนเทนต์ง่ายและประหยัดเวลาได้มากขึ้น แถมยังช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับแบรนด์มาฝากกัน
60% แรกมุ่งสร้างเอนเกจเมนต์
60% แรกคือ คอนเทนต์ที่สร้างขึ้นมาเป็น Original Content เรียกยอดเอนเกจเมนต์ เพื่อให้มามีส่วนร่วมกับคอนเทนต์มากที่สุด ไม่ว่าจะไลก์ คอมเมนต์ หรือแชร์ โดยที่ไม่ได้โฟกัสว่ากลุ่มเป้าหมายจะซื้อสินค้าและบริการหรือไม่
ในการสร้างคอนเทนต์ประเภทนี้ต้องคำนึงว่าจะทำอย่างไรให้คนเห็นโพสต์แล้วรู้สึกตื่นเต้น แปลกใหม่ หรือเข้าถึงอินไซด์ของกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์ให้ความรู้หรือความบันเทิง
อีกทางคือสามารถเพิ่มยอดเอนเกจเมนต์โดยการสร้างคอนเทนต์ที่เป็นคำถาม หรือเปิดโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายได้ร่วมแชร์ประสบการณ์ต่าง ๆ เช่น โพสต์ถามเรื่องการจับคู่เครื่องดื่มของแบรนด์กับอาหารที่คิดว่าลงตัวที่สุด หรือแชร์ประสบการณ์ใช้บริการของแบรนด์ที่พีคที่สุด เป็นต้น
หรือหากคุณไม่ใช่แบรนด์ ก็ลองเพิ่มเอนเกจเมนต์โดยการพูดถึงเรื่องต่าง ๆ หรืออาจจะกล่าวถึงแบรนด์อื่น ๆ แทนก็ได้เช่นเดียวกัน เช่น ตั้งโพสต์ชวนคนมาแชร์สุดยอดขนมในวัยเด็ก นอกจากจะดึงให้คนมีส่วนร่วมแล้ว บางทีแบรนด์ที่ถูกกล่าวถึงอาจจะตอบแทนน้ำใจที่ทำให้แบรนด์ถูกพูดถึงอีกด้วย
30% ต่อมาแชร์คอนเทนต์จากแหล่งอื่น
30% ต่อมาคือคอนเทนต์อื่นที่แชร์มาจากแหล่งอื่น โดยต้องมั่นใจว่าคอนเทนต์ที่แชร์มาเป็นคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับแนวทางของตัวเอง รวมถึงสามารถสร้างประโยชน์และคุณค่าให้กลุ่มเป้าหมายของเราได้
หากเป็นแบรนด์ที่แชร์โพสต์แบรนด์อื่นก็อาจช่วยสร้างความสัมพันธ์ และเพิ่มพันธมิตรได้ อาจส่งผลให้ในอนาคตอาจมีการตอบแทนกันในแง่ของการพูดถึงแบรนด์ของเรากลับ หรือเกิดการร่วมงานกันได้ในอนาคตอีกด้วย
นอกจากนี้การแชร์คอนเทนต์ที่มาจากองค์กรใหญ่หรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่น่าเชื่อถือบ้าง จะช่วยให้ดูมีความเป็นผู้นำทางความคิดและมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
ที่สำคัญการแชร์คอนเทนต์จากแหล่งอื่น ควรจะมีการใส่ข้อมูลเพิ่มเติมที่เป็นประโยชน์ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับตัวเอง หรือใส่ความคิดเห็นที่ให้ความรู้เพิ่มเติม สะท้อนแนวคิดของเรา เพื่อสร้างประโยชน์และคุณค่าให้กับกลุ่มเป้าหมายนั่นเอง
10% ที่เหลือหยิบยื่นโปรโมชัน
อีก 10% ที่เหลือคือสัดส่วนแห่งการสร้างคอนเทนต์มาเพื่อขายของ! เพราะการยิงโฆษณาอย่างเดียวไม่พอแน่นอน พวกคอนเทนต์ที่เป็นโปรโมชัน ไม่ว่าจะเป็นการโปรโมตโปรโมชัน ข้อเสนอต่าง ๆ รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการ เช่น โปรลดแลกแจกแถม หรือกิจกรรม Give Away เป็นต้น เพื่อมุ่งเน้นการขายสินค้าและบริการ
การโพสต์โปรโมชันหรือเปิดตัวผลิตภัณฑ์ นับเป็นเหมือนอีเวนต์พิเศษที่เหล่ากลุ่มเป้าหมายตั้งตารอ และรู้สึกถึงความพิเศษเมื่อมีโปรโมชัน เนื่องจากการโพสต์โปรโมชันบ้างจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจและยังคงคุณค่าของแบรนด์ไว้อยู่
แต่เหตุผลที่คอนเทนต์ประเภทโปรโมชันควรมีเพียงแค่ 10% นั้นเป็นเพราะว่าโซเชียลมีเดียจะเน้นไปที่การสร้างแบรนด์ สื่อสารและกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมกับแบรนด์ เพื่อให้เกิดการซื้อสินค้าและบริการมากกว่าการมุ่งขายแบบลุยโปรโมชันอย่างเดียว
เหมือนกับการวางแผนการตลาดเป็นขั้นตอนให้คนรู้จักแบรนด์แล้วค่อย ๆ ขายของนั่นเอง แทนที่จะนำเสนอขายตัวเองแบบ Hard Sell การทำให้คนจดจำและนึกถึงแบรนด์เองจะช่วยเพิ่มโอกาสให้แบรนด์ครองใจผู้บริโภคได้มากกว่า
และหากโพสต์โปรโมชันถี่มากจนเกินไป อาจทำให้ภาพลักษณ์ที่ผู้บริโภคมองแบรนด์เปลี่ยนไป เช่น ผู้บริโภคจะมีภาพจำว่าแบรนด์นี้ลดตลอด หรือเกิดความคิดว่ารอตอนลดค่อยซื้อก็ได้ เป็นต้น
รู้แบบนี้แล้วก็ลองไปสำรวจคลังคอนเทนต์ของตัวเองดูว่าพอจะมีสัดส่วนเป็นไปตามนี้หรือไม่ สามารถลองนำไปใช้ปรับเปลี่ยนควบคู่ไปกับกลยุทธ์การวางคอนเทนต์ของตัวเอง และสังเกตว่าได้ผลมากน้อยเพียงใด ที่สำคัญอย่าลืมจัดวางตารางคอนเทนต์ให้สม่ำเสมอและเหมาะสมกับแบรนด์และกลุ่มเป้าหมายของตัวเองให้มากที่สุดนะคะ!
ที่มา: SnapRetail