ในปีนี้นอกจากครีเอเตอร์ และอินฟลูเอนเซอร์จะมีบทบาทในการทำการตลาดสำหรับแบรนด์มากขึ้น แต่ที่สำคัญคือจะทำยังไงให้ลูกค้ายังติดตามแบบยั่งยืน ทำให้การเข้าร่วม และสนับสนุนคอมมูนิตี้ต่าง ๆ ของแบรนด์ได้ประโยชน์จากการมีส่วนร่วม และสร้างการรับรู้ใกล้ชิด ส่งผลให้เกิด Brand Loyalty มากกว่าวิธีอื่น ๆ
จากสถิติของ DATAREPORTAL พบว่าประเทศไทยใช้โซเชียลมีเดียเพื่อติดต่อกับเพื่อน และครอบครัวถึง 57.6% ซึ่งการสร้าง Online Community มักจะมาจากการคอนเนกกันบนแพลตฟอร์ม ที่เรียกได้ว่าในปีนี้ได้มีปล่อยฟีเจอร์ต่าง ๆ ให้ผู้ใช้บนแพลตฟอร์มสามารถมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้เกิดการสร้าง, แชร์ และแลกเปลี่ยนในคอมมูนิตี้
นอกจากนี้แบรนด์ยังสามารถใช้ความเป็นคอมมูนิตี้นี้เพื่อคอนเนกกับผู้ใช้คนใหม่ ๆ ที่อาจจะกลายมาเป็นลูกค้า รวมถึงยังเพิ่มการรับรู้แบรนด์ผ่านการมีส่วนร่วมในคอมมูนิตี้ และสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าผ่านการทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน หากแบรนด์สร้างคอมมูนิตี้จนประสบความสำเร็จ และมีประสิทธิภาพ จะทำให้สามารถดึงดูดสมาชิกเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจมากขึ้น
วันนี้ RAiNMaker จะพาไปทำความรู้จัก 7 Communities หลักการที่เป็นช่องทางสร้างโอกาสให้กับแบรนด์จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย!
เจาะลึก 7 Online Communities
Brand Community: ในโลกที่มีสินค้า และบริการมากมาย แน่นอนว่าเราจะต้องมี 1 แบรนด์ที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็จะอยู่ในดวงใจของเรา ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดการรวมตัวกันของผู้คนที่มีความชอบแบรนด์เดียวกัน นอกจากจะเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่เรารักแล้ว แบรนด์ยังสามารถสร้าง Brand Loyalty จากการไปร่วมในคอมมูนิตี้ได้อีกด้วย
Learning Community: พื้นที่ที่ความรู้จะมาบรรจบกัน หรือเรียกได้อีกชื่อว่า ‘Insight Community’ เพราะผู้คนส่วนใหญ่ในคอมมูนิตี้มักจะมาแชร์เรื่องราว หรือหัวข้อเฉพาะที่เป็นประโยชน์ รวมถึงมาร่วมค้นหาคำตอบ, แบ่งปันไอเดีย และสร้างแรงบันดาลใจร่วมกัน ทำให้เราสามารถลงไปให้ความรู้ที่เชี่ยวชาญเพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์ได้
Local Community: นอกจากการพบเจอกันที่ร้านกาแฟแถวบ้านเพื่อพบปะสังสรรค์กันในพื้นที่แล้ว ในปัจจุบันเราสามารถรวมตัวกันในโลกออนไลน์ เช่น Facebook Group ซึ่งจะเป็นเสมือนพื้นที่เพื่อการแบ่งปันความรู้ รวมถึงแบรนด์เข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับคนในพื้นที่ และจัดกิจกรรมเพื่อให้เกิดการรวมตัวกันในพื้นที่เพื่อสร้างการมีปฏิสัมพันธ์กับแบบออฟไลน์
Event Community: ในปัจจุบันผู้จัดงานอีเวนต์ต่าง ๆ มักจะสร้างคอมมูนิตี้เพื่อรวบรวมผู้คนที่เคยร่วมงานอีเวนต์ในงานของตนเอง ซึ่งจะแยกย่อยไปตามหัวข้อของงานแต่ละประเภท ทำให้คนที่สนใจในหัวข้อนั้น ๆ สามารถมาติดตามอีเวนต์ที่จะจัดขึ้นอีกในอนาคต เพื่อการสร้างโอกาสในการรับรู้กิจกรรม และอีเวนต์ของแบรนด์
Support Community: สำหรับใครที่มีประสบการณ์ หรือพบเจอเส้นทางที่มีความท้าทายต้องฝ่าฟันไป Support Community เป็นการรวมผู้คนที่อาจจะเจอสถานการณ์ใกล้เคียงกัน หรือผู้คนที่กำลังอยากจะพัฒนาตัวเอง ซึ่งผู้คนในคอมมูนิตี้นี้มักจะให้คำแนะนำ, ช่วยกันหาคำตอบ หรือให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ทำให้แบรนด์สามารถใช้ ‘Emotional Marketing’ เพื่อสื่อสาร และช่วยเหลือในเรื่องที่เกี่ยวข้องได้อีกด้วย
Fan Community: จากคำว่าแฟนด้อมสู่การสร้างคอมมูนิตี้ ไม่ว่าเราจะชอบหนังสือ, ละคร, ศิลปิน หรือแม้แต่การชอบทำความสะอาด นอกจากตัวเราแล้วในโลกอาจจะมีคนอื่น ๆ ที่ชอบอะไรเหมือนเราจนเกิด #CleanTok ขึ้นมาบน TikTok ซึ่งพลังแห่งความชอบสามารถรวมเป็นคอมมูนิตี้ โดยแบรนด์ที่เกี่ยวข้องกันคอมมูนิตี้จะสามารถเข้ามาเพื่อสร้างการรับรู้ให้กับผู้คนได้อีกมากมาย
Networking Community : สำหรับแวดวงการทำงานในสายเดียวกันคงรู้จักคำว่า Networking Party ซึ่งนั่นก็เป็นหนึ่งในคอมมูนิตี้ที่รวมผู้คนที่เกี่ยวข้องกับอุตสากรรมเดียวกัน เพื่อแบ่งปันข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตัวเองในสายงาน รวมถึงยังเป็นพื้นที่สำหรับการหาคอนเนกชัน ซึ่งอาจจะทำให้ได้รับโอกาสในการทำงาน เรียกได้ว่าเป็นคอมมูนิตี้ที่สร้างเครือข่ายทางธุรกิจให้กับเราอีกด้วย
จบไปแล้วกับการทำความรู้จัก 7 Online Communities ที่จะทำให้แบรนด์สามารถเข้าไปสร้างการรับรู้ในระดับที่ทำให้เกิด Brand Loyalty มากกว่าช่องทางอื่น ๆ และสามารถสร้างความเชื่อมั่นไปสู่ตลาดที่เป็นฐานลูกค้าสำคัญของเราได้ รวมถึงยังเป็นโอกาสสำคัญให้แบรนด์เติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไป
ที่มา: https://www.shopify.com/blog/types-of-online-communities