ตั้งแต่ปี 2020 ที่ E-commerce เติบโตแบบก้าวกระโดด และยังโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้พฤติกรรมการซื้อของออนไลน์ของคนเปลี่ยนแปลงไป ผลจากการอยู่บ้าน และชอปปิงผ่านออนไลน์มากขึ้น
สังเกตได้ชัดจากจนหลายแพลตฟอร์มออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, YouTube, TikTok หรือ Pinterest เป็นต้น คอยพัฒนาเครื่องมือ หรือฟีเจอร์ต่างๆ เพื่อสนับสนุนการซื้อขายออนไลน์บนแพลตฟอร์มมากขึ้นอยู่เรื่อยๆ
และการที่ตลาด E-commerce เติบโตขึ้นก็นับเป็นเรื่องที่ดี แต่ปัญหาคือยิ่งตลาดเติบโตมากขึ้นเท่าไหร่ คู่แข่งในตลาดก็มากขึ้นเท่านั้น แล้วจะทำอย่างไรให้เราอยู่รอดในตลาด กับการแข่งขันบนแพลตฟอร์มออนไลน์นี้ล่ะ?
วันนี้ RAiNMaker เลยพามาส่องเทรนด์ E-commerce เพื่อให้ทุกคนนำไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง จะได้ตามทัน และอยู่รอดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ได้แม้คู่แข่งเยอะ!
E-commerce หลังโควิด-19 ยังคงโตต่อเนื่อง
การซื้อขายออนไลน์มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะมีการเติบโตไปจนถึงปี 2024 (eMarketer, 2021)
นอกจากนี้ยังมีการทำนายว่าหลังสถานการณ์โควิด-19 จะมียอดเพิ่มขึ้น ถึง 25% ในปี 2025 (MarketWatch, 2020) เพราะฉะนั้นทั้งธุรกิจและแบรนด์ควรวางแผนการทำการตลาดออนไลน์ให้ดี
โดยเฉพาะการวางแผนในการแคมเปญต่างๆ บนโลกออนไลน์ในการโปรโมต ทางที่ดีควรมองถึงอนาคตในระยะยาวด้วย
ชอปปิงออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มากขึ้น
ผู้บริโภคส่วนมากใช้โทรศัพท์มือถือเป็นช่องทางในการเข้าไปชมและซื้อสินค้า เพราะฉะนั้นการจัดวางรูปแบบให้รองรับกับโทรศัพท์มือถือได้ดีจะมีชัยไปกว่าครึ่งเลยทีเดียว
นอกจากจัดรูปแบบการนำเสนอผ่านโทรศัพท์ให้น่าสนใจอย่างเดียวไม่พอ แต่ควรจะมีเว็บไซต์หรือหน้าเว็บไซต์ที่มีความเสถียร และสะดวกจบในที่เดียว ตั้งแต่ขั้นตอนการซื้อถึงการชำระเงิน
วัยรุ่นใช้จ่ายบนออนไลน์มากขึ้น
จากปกติที่วัยรุ่นก็เป็นกลุ่มผู้บริโภคส่วนมากที่มีการใช้จ่ายผ่านออนไลน์มากอยู่แล้ว ยิ่งช่วงสถานการณ์โควิด-19 ยิ่งมีการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นไปอีกถึง
สิ่งสำคัญที่ธุรกิจและแบรนด์ควรคำนึงถึง คือ พยายามส่องเทรนด์ ตามให้ทันสิ่งที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต้องการ
หากธุรกิจหรือแบรนด์ไหนอยากจะมองหากลุ่มเป้าหมายใหม่ การตีตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี ที่จะเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจหรือแบรนด์ได้
ประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ
ถ้าลองสังเกตดูดีๆ ผู้คนเริ่มหันมาตระหนักถึงปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หากธุรกิจหรือแบรนด์แสดงจุดยืนว่าใส่ใจในเรื่องของสิ่งแวดล้อม จะยิ่งทำให้ได้คะแนนตรงนี้ไปเต็มๆ แต่ต้องเป็นการแสดงถึงความซื่อสัตย์ และจริงใจถึงจุดยืนนั้นๆ ด้วยนะ!
เพราะฉะนั้นการวางแผนสื่อสารการตลาดที่ตระหนักถึงประเด็นสิ่งแวดล้อมด้วยจึงสำคัญ นอกจากจะเป็นการช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์แล้ว ยังถือเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมอีกด้วย
AR ช่วยเพิ่มประสบการณ์ให้ผู้บริโภค
การใช้ AR เข้ามาช่วยในการนำเสนอสินค้า จะช่วยเพิ่มประสบการณ์ให้กับผู้บริโภค ยิ่งในช่วงสถานการณ์แบบนี้ที่อาจไม่สามารถออกไปลองสินค้าได้ด้วยตัวเองแบบนี้ นับเป็นสิ่งที่คุ้มค่าแก่การลองนำมาปรับใช้มากๆ
แถมยังเป็นผลดีในระยะยาวได้อีกด้วย เพราะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับคนที่ไม่สะดวกไปซื้อของที่หน้าร้านจริงๆ จะตัดข้อจำกัดด้านการไม่เห็นสินค้าก่อนซื้อทำให้เลือกลำบากออกไปได้ในระดับนึงเลย
อีกทั้งธุรกิจหรือแบรนด์ยังจะได้ชื่อว่าอยู่ในเทรนด์ เพราะนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ได้เป็นอย่างดีอีกต่างหาก
ให้ประสบการณ์แบบรู้ใจผู้บริโภค (Personalization)
การที่ธุรกิจหรือแบรนด์สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างรู้ใจ จะช่วยให้ประสบการณ์ในการชอปปิงออนไลน์ดีขึ้นมาก
โดยสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายของตัวเองมากที่สุด ก็คือการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลนั่นเอง
ดังนั้นการจัดระบบข้อมูล และหมั่นวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้น เพื่อนำมาปรับใช้กลยุทธ์ในการสื่อสาร หรือการโปรโมตต่างๆ จึงเป็นเรื่องสำคัญ และจะทำให้ชนะใจผู้บริโภค รวมถึงคู่แข่งได้อย่างง่ายดาย
Visual Content ช่วยดึงดูดผู้บริโภค
แน่นอนว่าการทำการตลาดบนออนไลน์ ไม่สามารถเข้าไปดูสินค้าจริงได้ ภาพถ่ายหรือวิดีโอสินค้าจะต้องน่าดึงดูด โดดเด่น และเป็นเอกลักษณ์
หากสามารถผลิตออกมาเป็นคอนเทนต์ที่ดึงให้คนสามารถแชร์ต่อได้จะยิ่งดีมาก ซึ่งข้อนี้ก็อาจจะไปนำประเด็นในข้ออื่นๆ ที่กล่าวไปข้างต้นมาปรับใช้กับการสื่อสาร ทำคอนเทนต์โปรโมตของตัวเองได้
ที่มา: Social Media Today