รวม 7 เทรนด์น่าสนใจ จากงาน Cannes Lions 2023

จบไปอีกปีแล้วกับเทศกาลงานประกวดผลงานโฆษณาระดับโลกอย่าง “Cannes Lions 2023” ซึ่งปีนี้ก็มีโฆษณาแบรนด์ไทยหลายตัวที่ได้สิงโตไปครอง สามารถเข้าไปดูรายชื่อโฆษณาไทยที่ได้รางวัลได้ที่ https://www.rainmaker.in.th/cannes-lions-2023-with-thailand-ads/

นอกจากงาน Cannes Lions จะเป็นเวทีสำหรับงานโฆษณาแล้ว ก็ยังถือเป็นงานที่ทำให้เราได้เห็นเทรนด์ต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมงานสร้างสรรค์ เพราะได้ชื่อว่าเป็นที่ ๆ รวมทั้งผลงานโฆษณาชั้นเยี่ยม แบรนด์ดัง รวมถึงเหล่าครีเอทีฟจากเอเจนซีมากฝีมือ

ซึ่งทำให้เราได้เห็นเทรนด์ หรือข้อคิดอะไรบางอย่างที่จะสามารถนำมาปรับใช้กับงานของเราได้ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งครีเอทีฟ ครีเอเตอร์ แบรนด์ หรือเอเจนซี สำหรับ 7 เทรนด์ที่ว่าจะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลยดีกว่า!

สื่อเดิมและสื่อใหม่ ช่วยให้แบรนด์โตมากขึ้น

หลายคนอาจคิดว่ายุคดิจิทัลแบบนี้ต้องโปรโมตผ่านสื่อออนไลน์เท่านั้น โดยเฉพาะบน Social Media ทั้งบนช่องทางของแบรนด์เอง เช่น คอนเทนต์ต่าง ๆ บนออนไลน์ หรือการสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้ลูกค้า

แต่หารู้ไม่ว่า จริง ๆ แล้วพวกสื่อเดิมอย่าง โฆษณา TV และสื่อ Out of Home ก็มีส่วนช่วยให้แคมเปญเข้าถึงผู้คนได้เยอะ แถมยังเป็นตัวนำไปสู่การพูดถึงบนโลกออนไลน์ได้อีกด้วย อย่างที่เราอาจจะเคยเห็นแคมเปญการโปรโมตซีรีส์ของ Netflix ทั้งเรื่อง Money Heist กับแคมเปญปล้นป้ายโฆษณา และ All of Us Are Dead ที่สร้างรถบัสโรงเรียนซอมบี้ตระเวนโปรโมตซีรีส์ ป็นต้น

เรียกว่าเป็นผลที่เกิดขึ้นข้ามโลกจากออฟไลน์สู่ออนไลน์เลยทีเดียว แต่มีข้อแม้ว่าสิ่งที่ทำต้องมีความโดดเด่นมากพอที่จะทำให้เป็นที่พูดถึง เพื่อที่จะได้เชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายได้นั่นเอง

Diversity, Equity, Inclusion (DEI) กลยุทธ์ที่แบรนด์ต้องมี

  • Diversity: ความหลากหลาย ทั้งเรื่องเพศ ชาติ ศาสนา หรือแนวคิด
  • Equity: ความเท่าเทียมในมนุษย์ ทั้งเรื่องเพศ และความคิด
  • Inclusion: การรวมกัน ที่ถึงแม้จะต่างแต่ก็ไม่ถูกทำให้แปลกแยก

การที่แบรนด์คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้เสมอก่อนสื่อสารและเผยแพร่ผลิตภัณฑ์และบริการออกไป จะทำให้แบรนด์สามารถเข้าถึงลูกค้าได้หลากหลายมากขึ้น รวมถึงยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความตระหนักรู้ถึงปัญหาด้านสังคมของแบรนด์ ซึ่งจะทำให้คนรู้สึกชื่นชมและเชื่อมั่นในแบรนด์มากขึ้นอีกด้วย

ปัจจุบันก็มีหลายแบรนด์ที่หันมาให้ความสำคัญเรื่องความแตกต่างและความเท่าเทียม เห็นได้ชัดในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ที่หลายแบรนด์ร่วมแสดงจุดยืนเกี่ยวกับ Pride Month อย่างเปิดกว้างมากขึ้น

นำ AI เข้ามาเป็นเพื่อนคู่คิด

ในช่วงแรกที่กระแสของ Generative AI เริ่มแรงขึ้นเรื่อย ๆ หลายคนกลัวว่ามันจะมาแย่งงาน โดยเฉพาะอาชีพในอุตสาหกรรมครีเอทีฟ แต่ความจริงแล้วหากเราทำความเข้าใจการทำงานของ Generative AI และนำมาปรับใช้กับงานได้อย่างถูกต้องเหมาะสม มันจะช่วยทำงานให้เราเสมือนเป็นเพื่อนคู่คิด ที่จะช่วยลดทั้งเวลา ต้นทุน แถมยังอาจได้ปริมาณงานและไอเดียที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย

ซึ่ง Generative AI ในปัจจุบันก็สามารถช่วยได้ทั้งด้านงานครีเอทีฟ ไม่ว่าจะเป็น ภาพ วิดีโอ เสียง หรือเพลง รวมไปถึงการใช้ ChatGPT ในการช่วยในการวางกลยุทธ์การตลาดเบื้องต้น แต่แน่นอนว่ามันยังมีข้อบกพร่อมและข้อน่ากังวลอยู่มกมาย ทั้งเรื่องความถูกต้องของข้อมูล และเรื่องของลิขสิทธิ์ ทำให้ยังใช้ช่วยได้แค่บางงานเท่านั้น และควรที่จะตรวจสอบอีกครั้งก่อนนำข้อมูลไปใช้

อย่างแบรนด์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชื่อดังของไทย “มาม่า” ที่ออกแคมเปญโฆษณาโดยใช้ ChatGPT ในการคิดไอเดียและเขียนสคริปต์โฆษณาให้ ชมตัวอย่างโฆษณาได้ที่นี่

Sustainability สร้างแบรนด์ให้แข็งแรง

Sustainability หรือความยั่งยืน ควรเป็นสิ่งที่เริ่มสร้างตั้งแต่ในองค์กร ซึ่งประกอบไปด้วยเรื่องเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้เพื่อให้คนในองค์กรสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ และวางกลยุทธ์ที่ยั่งยืนให้กับแบรนด์ จนสามารถถ่ายทอดความยั่งยืนไปสู่ลูกค้าให้มีความเชื่อมั่นในแบรนด์ได้อีกด้วย

เพราะฉะนั้นการสร้างความยั่งยืนทั้งภายในและภายนอกองค์กรจึงเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ๆ เนื่องจากเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทั้งพนักงานในองค์กร ลูกค้า รวมถึงหุ้นส่วนของคุณอาจจะอย่างเห็นมากที่สุดในปัจจุบัน

ตามทันกลุ่ม Gen Z ให้ทัน

คำว่า Gen Z ในที่นี้อาจไม่ได้จำกัดความแค่คนรุ่นใหม่ที่เกิดตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นไป แต่หมายถึงผู้คนที่มีความคิดอ่านและตัวตนของคนรุ่นใหม่ ซึ่งขณะนี้ Gen Z กำลังกลายเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่กลุ่มใหญ่ที่มีอิทธิพลอย่างมาก เพราะฉะนั้นแบรนด์เองก็ต้องทำความเข้าใจพฤติกรรม เพื่อวางกลยุทธ์ให้เข้าถึงคนกลุ่มนี้ให้ได้มากที่สุด

ซึ่งอินไซต์ส่วนใหญ่ของกลุ่ม Gen Z มักจะให้ความสำคัญกับความเป็นอิสระ และใส่ใจถึงเรื่อง DEI ความยั่งยืน รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI ที่กล่าวมาข้างต้นค่อนข้างมาก ทำให้แบรนด์ต้องนำสิ่งเหล่านั้นมาพัฒนากลยุทธ์ เพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มนี้นั่นเอง

ทำ Personalization ในโลก Cookieless ให้สร้างสรรค์

ทุกวันนี้ลูกค้าตระหนักถึงความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลค่อนข้างมาก และต้องการที่จะรู้ว่าแบรนด์เก็บข้อมูลอะไรของพวกเขาไปบ้าง เก็บอย่างไร เก็บไปทำไม และถูกนำไปใช้อย่างไร ซึ่งแบรนด์ก็ต้องแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสในทุกขั้นตอนของการเก็บและใช้ข้อมูล โดยเก็บเท่าที่จำเป็น และใช้เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า

เพราะลูกค้าส่วนมากคาดหวังการตลาดแบบ Personalization ซึ่งแน่นอนว่าการจะทำการตลาดแบบเจาะจงรายบุคคลนั้นจำเป็นต้องเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวบางอย่างของลูกค้า เพื่อให้ระบบสามารถวิเคราะห์และตอบสนองสิ่งที่ต้องการได้อย่างตรงจุดนั่นเอง

เพราะฉะนั้นการขอข้อมูลลูกค้าโต้ง ๆ อาจใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป แบรนด์จึงต้องใสส่ความคิดสร้างสรรค์ผ่านการสร้างโมเมนต์ การเชื่อมต่อ รวมถึงความรู้สึกและอารมณ์ที่อยู่แบบถูกที่ถูกเวลา เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกเชื่อมั่นและยินยอมให้ข้อมูลด้วยความเต็มใจ

Co-creation แบรนด์-แบรนด์ / แบรนด์-ครีเอเตอร์

ปัจจุบันแบรนด์ทำงานกับครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์มากขึ้นเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน เนื่องจากบางครั้งพวกเขามีอิทธิพลต่อลูกค้ามากกว่าการจ้างเซเลบริตี้เสียอีก เพราะความเข้าถึงง่าย และความเรียลที่ถูกถ่ายทอดออกไป ทำให้ลูกค้าเลือกที่จะเชื่อถือมากกว่า

ดังนั้นหากแบรนด์ต้องการจะเข้าถึงกลุ่มลูกค้า จึงจำเป็นต้องสัมพันธ์ที่ดีต่อเหล่าครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ให้มากขึ้น เพราะพวกเขาคือส่วนหนึ่งที่ทำให้แบรนด์เติบโต เช่นเดียวกันกับการร่วมมือกันระหว่างแบรนด์ที่มีอุดมการณ์เดียวกัน ก็ยิ่งช่วยทำให้ลูกค้าได้เห็นอะไรใหม่ ๆ จากแบรนด์ รวมถึงได้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ แถมยังเป็นการรวมพลังเพื่อบรรลุเป้าหมายที่มีร่วมกันได้อีกด้วย

ที่มา: The Wall Street Journal

Copyright © 2024 RAiNMaker. All rights reserved.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save