หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า Macro หรือ Micro Influencer กันมาบ้าง แต่อาจยังไม่เข้าใจดีกับคำว่า Nano Influencer ซึ่งถ้าเทียบกับกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ทั้งหมดนับเป็นกลุ่มเล็กที่สุด ตามชื่อ Nano เลยนั่นเอง ก็คือเป็นเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ที่มีกลุ่มผู้ติดตามแค่หลักพันถึงหมื่น แต่กลับกลายเป็นนิยมมากขึ้นทุกวัน จนหลายแบรนด์เองก็หันมาทำการตลาดโดยใช้นาโนอินฟลูเอนเซอร์ในการช่วยโปรโมตมากขึ้น
วันนี้เราเลยจะมาบอกว่า Nano Influencer คืออะไร มีข้อดีในการช่วยแบรนด์อย่างไร และใครสามารถเป็นได้บ้าง?
Nano Influencer คืออะไร?
เป็นคนที่มีชื่อเสียงโดดเด่นหรือเป็นที่รู้จักในแวดวงใดแวดวงหนึ่ง ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อกลุ่มคนรอบข้างค่อนข้างมาก การสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายจะให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนหรือครอบครัวมากกว่าการโฆษณาชวนเชื่อ และมีฐานผู้ติดตามที่น้อยที่สุดในบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ทั้งหมด ดังนี้ Mega Influencer, Macro Influencer, Mid-Tier Influencer และ Micro Influencer ซึ่ง Nano Influencer มียอดผู้ติดตามอยู่ที่ประมาณ 1,000-10,000 คน
แต่กลับเป็นกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ที่มีอยู่ในตลาดมากที่สุด สังเกตว่าเวลาแบรนด์จ้างนาโนอินฟลูเอนเซอร์ก็จะจ้างเพื่อให้ผลิตคอนเทนต์แนวเดียวพร้อมกันทีเดียวหลายคน เวลาที่เห็นคอนเทนต์จากผลิตภัณฑ์เดียวกันในช่วงเวลาเดียวกัน เพื่อกระจายการสื่อสารให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างมากขึ้น และดูเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้สมจริงมากกว่า
ข้อดีของการใช้ Nano Influencer
1. ค่าใช้จ่ายต่ำ
เนื่องจากยอดผู้ติดตามไม่ได้เยอะเท่าอินฟลูเอนเซอร์ประเภทอื่นๆ จึงทำให้ค่าใช้จ่ายต่ำกว่า รวมถึงหลายครั้งอินฟลูเอนเซอร์บางคนก็ยินดีที่จะรับค่าตอบแทนเป็นผลิตภัณฑ์แทน นอกจากนี้ยังสามารถจ้างนาโนอินฟลูเอนเซอร์ได้พร้อมกันทีเดียวหลายคนด้วยจำนวนเงินที่เท่ากับจ้างอินฟลูเอนเซอร์ประเภทอื่น ซึ่งก็จะทำให้เกิดการกระจายคอนเทนต์ และมีโอกาสคนเห็นคอนเทนต์ได้มากกว่าจนอาจเกิดการติดแฮชแท็กหรือเป็นเทรนด์ก็ได้
2. เจาะกลุ่มเป้าหมายได้ดี
ด้วยความที่ใกล้ชิดกลุ่มเป้าหมายได้มากกว่า เรียกว่าค่อนข้างเป็นกลุ่มเล็กที่เป็น Niche Audience และมีการสื่อสารแบบเป็นกันเอง จึงทำให้มีแนวโน้มสูงที่กลุ่มเป้าหมายจะคล้อยตาม
3. ได้รับความเชื่อถือจากคนรอบข้าง
เมื่อการสื่อสารเป็นกันเอง ก็จะทำให้กลุ่มเป้าหมายให้ความเชื่อถือค่อนข้างมาก เพราะกลุ่มเป้าหมายจะมองเป็นเพื่อนมากกว่าคนแปลกหน้า แถมยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้นอีกด้วย
4. ยอด Engagement สูงและสม่ำเสมอ
มีโอกาสที่จะสร้างยอด Engagement ให้กับแบรนด์เพิ่มได้ เนื่องจากสามารถจ้างให้ทำคอนเทนต์ในช่วงเวลาเดียวกันได้พร้อมกันหลายคนเลยทำให้มีโอกาสที่กลุ่มเป้าหมายจะมีส่วนร่วมกับกิจกรรมหรือแคมเปญของแบรนด์มากกว่า
5. มีจำนวนมาก ทำให้แบรนด์มีตัวเลือกเยอะ
เนื่องจากจำนวนนาโนอินฟลูเอนเซอร์ในตลาดมีจำนวนมาก ทำให้แบรนด์มีทางเลือกมากมายในการเลือกใช้เพื่อให้ตอบวัตถุประสงค์มากที่สุด
6. มีความสัมพันธ์ที่ดีกับแบรนด์
ส่วนใหญ่นาโนอินฟลูเอนเซอร์มักจะเริ่มทำรีวิวจากความชอบในแบรนด์ส่วนตัวอยู่ก่อนแล้ว คอนเทนต์ที่ออกมาเลยจะเป็นไปในเชิงการสร้างคุณค่าให้แบรนด์ แสดงให้เห็นถึงความจริงใจต่อแบรนด์จริงๆ และกลุ่มเป้าหมายก็จะพอรู้และมีความเชื่อถือว่านาโนอินฟลูเอนเซอร์ได้นำสิ่งที่ดีมานำเสนอ
7. นำกลุ่มเป้าหมายใหม่มาให้แบรนด์ได้
จริงอยู่ที่การใช้อินฟลูเอนเซอร์ที่มียอดผู้ติดตามเยอะ อาจทำให้ได้กลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายเพิ่มขึ้น แต่การใช้นาโนอินฟลูเอนเซอร์เองก็ช่วยเพิ่มกลุ่มเป้าหมายที่นอกเหนือจากตรงนั้นขึ้นไปอีก อาจช่วยให้แบรนด์ได้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่อยู่เป็นคอมมูนิตี้เล็กๆ ระดับชุมชนได้เพิ่มมากขึ้น
ทำยังไงถึงจะเป็น Nano Influencer ได้?
นาโนอินฟลูเอนเซอร์นับเป็นสเตจแรกในการที่จะก้าวสู่วงการอินฟลูเอนเซอร์เลยก็ว่าได้ เนื่องจากฐานผู้ติดตามที่ไม่เยอะมาก และความเป็นกันเองที่เป็นโอกาสให้ใครหลายคนสามารถเข้ามาลองทำงานตรงนี้ได้ แต่ก็ควรมีหลักการเล็กๆ น้อยๆ เพื่อปรับตัวเองให้เข้าตาแบรนด์บ้าง ดังนี้
1. เลือกแนวทางให้ชัดเจน
หาแนวทางให้ชัดเจน จะได้กำหนดไปเลยว่าเราอยากให้คนมีภาพจำว่าโดดเด่นในด้านอะไร นำเสนอคอนเทนต์เกี่ยวกับอะไร จะได้มีกลุ่มเป้าหมายที่ตรงกับคอนเทนต์ รวมถึงตรงกับความต้องการของแบรนด์ในประเภทเดียวกันด้วย แบรนด์จะได้หาเราง่ายขึ้น และเห็นภาพว่าเราตอบโจทย์แบรนด์ในด้านไหน เช่น สายบิวตี้ สายกิน สายเที่ยว
2. สร้างเอกลักษณ์ให้โดดเด่น
ด้วยความที่นาโนอินฟลูเอนเซอร์ค่อนข้างมีเยอะในตลาด การทำให้ตัวเองแตกต่างออกมาจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ไม่ว่าจะด้วยภาพ คำพูด หรือสไตล์การเขียน ถ้ายิ่งเป็นที่จดจำก็จะยิ่งทำให้แบรนด์สนใสที่จะร่วมงานมากขึ้น
3. มีไลฟ์สไตล์ที่น่าสนใจ
ไลฟ์สไตล์ที่น่าสนใจจะเป็นตัวช่วยประกอบการตัดสินใจให้กับแบรนด์ เพราะการทำการโปรโมตโดยใช้นาโนอินฟลูเอนเซอร์มักไม่ได้ใช้การโปรโมตด้วยคอนเทนต์แนวจริงจังหรือเป็นทางการอยู่แล้ว หากใครมีไลฟ์สไตล์ที่น่าสนใจอาจมีส่วนช่วยเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ดูดีมากขึ้นอีกด้วย
4. มียอด Engagement ดี
ถึงแม้นาโนอินฟลูเอนเซอร์จะขึ้นชื่อว่าเป็นกลุ่มที่มีผู้ติดตามน้อยที่สุดก็ตาม แต่ไม่ได้หมายความว่าจะมียอด Engagement ต่อโพสต์น้อยตามไปด้วย มีบางกรณีที่อินฟลูเอนเซอร์มียอดผู้ติดตามสูง แต่ยอด Engagement น้อยก็มี เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญเลยคือการวางกลยุทธ์ การคิดวางแผนในการทำคอนเทนต์อย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์หรือยอด Engagement ที่ออกมามีประสิทธิภาพนั่นเอง เพราะยอด Engagement ก็เป็นตัวชี้วัดที่จะสะท้อนให้แบรนด์เห็นว่าคุ้มค่าที่จะลงทุนกับเราหรือไม่
5. มีความน่าเชื่อถือ
ที่สำคัญเลยคือความน่าเชื่อถือ เพราะเป็นการบอกต่อกันจากกลุ่มเล็กๆ แบบเป็นกันเอง ทำให้ทุกคนมีความเชื่อถือต่อเราอยู่แล้ว จึงควรนำเสนอจากการใช้จริงแบบจริงใจมากกว่า ยิ่งทำให้กลุ่มเป้าหมายเชื่อถือเราได้มากเท่าไหร่ แบรนด์จะยิ่งมองเห็นคุณค่าตรงนั้นมากเท่านั้น
ที่มา : Social Media Today