เป็นเรื่องปกติที่เราจะเห็นสำนักข่าวหรือสำนักคอนเทนต์ต่าง ๆ แข่งกันด้วยความดุเด็ดเผ็ดมันในการทำคอนเทนต์ที่รวดเร็ว อิงกระแส ตรงและมี Impact สูง โดยเฉพาะเนื้อหาเกี่ยวกับการเมือง การปกครอง และข่าวสารต่าง ๆ ที่เป็นเชิงวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการพูดคุย การสนทนา หรือการส่งต่อ ไม่ว่าจะเป็นในไทยหรือในต่างประเทศเองก็เช่นกัน (ในต่างประเทศนี่เขียนข่าวกันเด็ดกว่าในไทยหลายเท่า)
วันนี้ทีมงาน RAiNMAKER มี case-study ที่น่าสนใจของ New York Times ซึ่งก็เป็นหนึ่งในสำนักคอนเทนต์ที่ทำเนื้อหาแนว ๆ รุนแรง ตรงไปตรงมา เช่นกันและมีความเกี่ยวโยงกับการเมืองสูงและเป็นหนึ่งในนักวิพากษ์วิจารณ์ที่ขึ้นชื่อมาก ได้ลองหันมาทำคอนเทนต์แนว ๆ เบาสมองใน Section ที่ชื่อว่า “Smarter Living” ที่มี Concept ว่า “Stories to help you understand the world – and make the most of it.” หรือ เรื่องราวที่จะทำให้เราเข้าใจโลก และใช้ประโยขน์มันให้ได้คุ้มค่าที่สุด
คอนเทนต์เบา ๆ แต่ผลตอบรับดี
ในขณะที่อีกฝากนึงของ NY Times กำลังทำคอนเทนต์ข่าวหนักสมอง ตามกระแสโลกที่มีข่าวใหม่ ๆ อัพเดทกันรายวินาที ทีม Editor ของ NY Times Smarter Living ก็กำลังทำคอนเทนต์แนว ๆ สอนการจัดบ้าน, จัดต้นไม้, เลี้ยงสัตว์, นำเที่ยว, แนะนำเคล็ดลับทำอาหาร ซึ่งพอฟังดูแล้วก็เป็นคอนเทนต์แนวเบา ๆ ทั้งนั้น
ฟังเช่นนี้แล้ว NY Times ได้มีผลรายงานที่น่าสนใจ และพบว่าคอนเทนต์แนว ๆ Lifestyle นี้ได้สร้างความ loyalty ได้ดีมาก
- ปัจจุบันมีคนสมัครรับข้อมูลผ่านทางอีเมล (Newsletter) 360,000 ราย
- จาก 360,000 ราย มียอดการอ่านเนื้อหาในอีเมลสูงถึง 80% (นับว่าสูงมาก)
- ในปีที่ผ่านมามียอดการอ่านบทความถึง 22 ล้าน View
- Smarter Living เป็น 33% ของ 100 สิ่งที่คนกดบันทึกไว้ดูทีหลังใน App ของ NY Times
นอกจากนี้ยังพบว่าผู้อ่าน Section Smarther Living มีอัตราการกลับเข้ามาหรือ Return Rate สูงถึง 6-10% เลยทีเดียว
สบายใจทั้งคนอ่าน ทั้งคนลงโฆษณา
New York Times ยังบอกว่าการทำคอนเทนต์แนวเบา ๆ ไม่มีการเมืองนี้ยังช่วยให้ผู้ลงโฆษณาตัดสินใจได้ง่ายขึ้นด้วยเนื่องจากไม่มีอะไรต้องกลัว
สิ่งที่เราน่าจะได้รับจาก Case-study นี้เลยก็คือ คอนเทนต์ที่ดีอาจจะไม่จำเป็นต้องเร็วในระดับวินาที ทันกระแส หรือมีเนื้อหาที่รุนแรงดุดันเสมอไป แต่ยังมีช่องว่างบางส่วนในโลกทีวุ่นวายที่คนต้องการจะเบาสมอง
ในกรณีนี้เราอาจจะต้องลองนึกภาพกลุ่มเป้าหมายของเราว่าเขาเป็นใคร และเขาใช้เวลาไปกับอะไรบ้าง จากนั้นหาช่องว่างที่เขาจะได้พักสมองและนำคอนเทนต์ของเราไปรองรับในส่วนนั้น แน่นอนว่า Case-study จาก NY Times นี้อาจจะช่วยให้เราได้แนวทางในการทำคอนเทนต์ในแบบของเรา แต่ไม่ตามใครมากขึ้น
อ้างอิง