เป็นประเด็นร้อนในวงการอินฟลูเอนเซอร์ไม่น้อย โดยเฉพาะวงการบิวตี้ หลังจากเมื่อวาน (12 ก.ค. 66) มีทัวร์ลง ‘มิคล์เศษใจ’ อินฟลูเอนเซอร์สายรีวิว ผู้ติดตามว่า 6 แสน ว่านำภาพรีวิวผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ CeraVe จากผู้ใช้ชาวจีนมาแอบอ้างเป็นรีวิวของตัวเอง
งานนี้ทำให้แบรนด์ CeraVe รีบออกมาชี้แจงอย่างรวดเร็วถึงประเด็นดังกล่าวว่า
“เซราวีขอย้ำว่าเราสื่อสารด้วยพื้นฐานข้อมูลจริง และให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ผู้บริโภคเท่านั้นเซราวีไม่สนับสนุนการโฆษณาที่เกินจริงไม่มีนโยบายทำงานกับ Influencer ที่ไม่สื่อสารตามหลักการนี้โพสต์รีวิวที่มีลักษณะเกินจริงนั้นไม่เกี่ยวข้องกับแบรนด์”
ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากผู้คนบนโลกออนไลน์จำนวนมาก เนื่องจากพฤติกรรมการเสพสื่อและการซื้อสินค้าของผู้บริโภคปัจจุบันขึ้นอยู่กับความคิดเห็นหรือรีวิวจากอินฟลูเอนเซอร์เสียส่วนใหญ่ การที่อินฟลูเอนเซอร์นำภาพคนอื่นมาใช้แบบนี้ จึงถือเป็นการเข้าข่ายหลอกลวงผู้บริโภค และทำลายความเชื่อใจของผู้บริโภคต่ออินฟลูเอนเซอร์อีกด้วย
ทำให้เจ้าตัวต้องออกมาโพสต์ขอโทษทางเพจ โดยมีใจความว่า
“”ขอโทษนะคะ มิลค์ขอโทษขอโทษเพื่อนๆพี่ๆน้องๆผู้ติดตามทุกคน “
จากกรณีที่เกิดขึ้นทั้งหมด มิลค์ต้องขอโทษทางแบรนด์และผู้ติดตามมิลค์ทุกคนที่ทำให้ผิดหวังและเกิดความเสียหายเป็นวงกว้างมิลค์ขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว มิลค์ไม่ได้มีเจตนาให้เกิดความเสียหายหรือให้ทางแบรนด์เสื่อมเสียชื่อเสียงใดๆทั้งสิ้นค่ะมิลค์ต้อง “ขอโทษ” ทุกคนและทุกฝ่ายอีกครั้ง และมิลค์ขอรับผิดชอบโดยการหยุดรีวิวทุกสินค้าบนเพจมิลค์เศษใจก่อนไปสักพักค่ะและตลอด 2 ปีที่ผ่านมา มิลค์ใช้รูปตัวเองและถ่ายเองทั้งหมดค่ะ สิ่งที่รูปครีมนั้นที่ไปใช้ภาพคนอื่น เป็นรูปเดียวที่ใช้ เพราะมิลค์ทิ้งไปแล้วแต่เป็นคนใช้เองจริงๆค่ะ และครีมมันดีจริงๆค่ะ มิลค์อยากรีวิวให้เขา แบรนด์ไม่ได้จ้างแต่อย่างใด และเป็นแค่โพสต์เดียวที่มิลค์ใช้ภาพคนอื่น นอกนั้นมิลค์และทีมถ่ายเองทั้งหมดค่ะขอโทษอีกครั้งนะคะ ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังขอโทษที่คิดไม่รอบคอบก่อนขอบคุณพี่ๆน้องๆทุกคนในเพจที่ตักเตือนมานะคะขอบคุณและขอโทษจากใจจริงค่ะ
มิลค์เศษใจ”
งานนี้ก็ถือเป็นบทเรียนให้เหล่าครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ที่ควรจะซื่อสัตย์กับผู้ติดตามของตัวเอง ผ่านการใช้จริง รีวิวจริง เพราะหากครั้งหนึ่งที่ผู้ติดตามเสียความเชื่อใจแล้ว ก็ยากที่จะทำให้กลับมาเชื่อใจได้เหมือนเดิม แถมถ้าใครเข้าใจผิด ไม่เห็นคำชี้แจงจากทางแบรนด์ก็เสี่ยงส่งผลกระทบไปถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์อีกด้วย