How To ทำการตลาดด้วย E-commerce SEO เสิร์ชให้แบรนด์ติดหน้า Google แบบไม่ต้องใช้โฆษณา

หากพูดถึง SEO ในยุคนี้ก็มีหลายแบบทั้งใช้กับการเสิร์ชบนเว็บเบราว์เซอร์หรือ Social SEO ที่ต้องวิเคราะห์จากความสนใจของคนในโลกโซเชียลก็ตาม แต่สำหรับฝั่ง E-commerce ก็มี SEO ในแบบของตัวเองเช่นกัน ซึ่งจะทำยังไงหากเรามีเว็บไซต์แบรนด์ แต่อยากติดหน้า Google โดยไม่ต้องเสียเงินค่ายิงแอด วันนี้ RAiNMaker มีคำตอบ!

จากสถิติของบริษัท SEO Backlinko พบว่ามีเพียง 0.63% ของผู้เสิร์ชเท่านั้น ที่จะคลิกเว็บไซต์ไปยังหน้าสองของผลการค้นหาบน Google แต่ผลลัพธ์ในหน้าแรกบน Google SERP มีผลลัพธ์ 27.6% ของการคลิกทั้งหมดเลยทีเดียว จึงเรียกได้ว่า SEO มีผลมากจริง ๆ

ฝั่ง “E-commerce SEO” ยังคงเป็นเคล็ดลับสำหรับนักการตลาด และแบรนด์โดยเฉพาะที่ต้องทำการบ้านว่าผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของเรากำลังสนใจ และอยากเสิร์ชอะไรบ้าง และจะทำให้พวกเขามีประสบการณ์ใช้งานเว็บไซต์ยังไงให้เจอสินค้าที่ใช่ เพื่อให้ Traffic เว็บไซต์มีคุณภาพ

โดยการนำEcommerce search engine optimization (SEO) เข้ามาช่วย จะทำให้แบรนด์ที่มีเว็บไซต์ของตัวเองอัปเดตคอนเทนต์ หรือสินค้าที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมากขึ้นได้ แบบที่ไม่ต้องเสียเงินไปเยอะกับการขึ้นอันดับต้น ๆ ของ Google Search แต่จะเริ่มทำ SEO ในโลก E-commerce ยังไงให้ได้ผลลัพธ์ดีได้บ้าง มาดู!

E-commerce Keyword Research 

  • เช็ก Google Predictions 

สำหรับการเสิร์ชบน Google แบบมี SEO มักจะเริ่มจากการค้นหาแบบเบสิคก่อน นั่นก็คือ “E-commerce Keyword” ซึ่งจะแตกตางจากคำทั่วไปที่ใช้ค้นหา เพราะผลลัพธ์การค้นหา จะเต็มไปด้วย “Commercial Keyword” หรือศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับโปรดักนั้น ๆ โดยมีเว็บไซต์ของคู่แข่งที่มีโปรดักเดียวกันด้วย

แต่ในตอนนี้การจะพิมพ์เสิร์ชอะไรบน Google ก็จะมีการคาดเดาคำค้นหาในการเสิร์ชต่อไปขึ้นมาต่อท้ายประโยคที่พิมพ์ไว้ด้วย เพื่อแนะนำการค้นหาจนกว่าจะเจอคำตอบที่ต้องการ ฉะนั้นการเช็ก Google Predictions จึงเป็นโอกาสสำคัญของแบรนด์ที่จะได้ศึกษาคีย์เวิร์ด ประโยค หรือคำถามต่าง ๆ ที่จะเชื่อมโยงกับการแนะนำของ Google ได้

  • ใช้เครื่องมือ Research Keyword Tools 

สำหรับการรีเสิร์ชที่มีความแอดวานซ์ขึ้นมาหน่อย การทำ SEO สำหรับแบรนด์ก็มีเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์ SEO ได้ด้วย เพียงแค่ใส่โดเมน และเช็กการวิเคราะห์หลังบ้านของเครื่องมือนั้น ๆ เสมอ ซึ่งภายในนั้นจะมีทั้ง Metric และ Search Volume ให้เห็นว่ากลุ่มเป้าหมายสนใจโปรดักอะไรภายในเว็บไซต์ของแบรนด์บ้าง

  • เลือก Keyword ที่ใช่สำหรับแบรนด์

การที่แบรนด์มีคีย์เวิร์ดที่ใช่ก็จะนำไปสู่การเสิร์ชที่มี Traffic และ Search Volume ที่ดี รวมถึงมีคู่แข่งน้อยและมีความเกี่ยวข้องในการค้นหาของกลุ่มเป้าหมายโดยตรงมากขึ้นด้วย ฉะนั้นการวางแผนหาคีย์เวิร์ดหลักสำหรับแบรนด์จึงสำคัญมาก

ซึ่งคีย์เวิร์ดนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นคำนาม หรือคำถามแต่สามารถเป็นอะไรก็ได้ที่จะโยงมาถึงแบรนด์ และให้โปรดักของเราเป็นตัวปิดจบ และเป็นคำตอบที่กลุ่มเป้าหมายจะเข้ามาดูรายละเอียดต่อได้บนเว็บไซต์

Site Structure 

  • ทำเว็บไซต์ให้ง่ายต่อการเสิร์ช

เมื่อพูดถึง SEO หลาย ๆ คนจะมองว่าคีย์เวิร์ดเป็นเรื่องที่ต้องโฟกัสอันดับแรก จนอาจจะลืมไปว่าสิ่งที่ต้องต่อยอดมาจากคีย์เวิร์ดของแบรนด์ ก็คือการทำให้เว็บไซต์ไหลลื่น และน่าไถดูต่อโดยไม่มีการติดขัดใด ๆ ฉะนั้นการจัดอินเทอร์เฟซ หรือ UX และ UI บนเว็บไซต์จึงสำคัญไม่แพ้กัน

  • ทุกหน้าในเว็บใช้เวลาโหลดไม่นาน 

โดยเฉพาะในส่วนของโปรดัก จะต้องมีความเรียบง่ายและเข้าถึงได้ดีทั้งบนอุปกรณ์อย่างแล็ปท็อป คอมพิวเตอร์​หรือบนสมาร์ตโฟน ซึ่งไม่แนะนำให้สร้างอะไรที่ซับซ้อนมาก แต่ควรทำให้เว็บไซต์เข้าถึงได้เพียงไม่กี่คลิกก็พอแล้ว

  • เช็ก Page Indexing บน Google 

หากเว็บไซต์ไหน Google นำเข้าเป็น Page Index แล้วจะสามารถเช็กความเร็วในการเสิร์ช และการเข้าถึงเว็บไซต์ได้เป็นเวลาวินาที ซึ่งจะช่วยทำให้รู้ได้ว่าเว็บไซต์ของเรามีการโหลดนานแค่ไหนในการค้นหาเจอทั้งหมดบน Google

แต่หากเว็บไซต์ของใครยังไม่ได้ถูกลิสต์อยู่ใน Page Indexing บน Google จะต้องเข้าไปเพิ่มลงในฐานข้อมูล เพื่อให้ Google ได้เจอเว็บไซต์ของเรา และเพิ่มลงในผลการค้นหาได้

On-page SEO for E-Commerce 

  • สร้าง Highest-value Page บนเว็บ 

หากแบรนด์ไหนที่มีคีย์เวิร์ดเฉพาะแล้ว รวมถึงโครงสร้างเว็บไซต์ที่ไหลลื่นเวลาไถ ก็ควรโฟกัสไปที่คอนเทนต์ต่อว่าจะทำยังไงให้หน้าเพจเว็บนั้นมี Highest-value มากที่สุด โดยการจัด Product Category และ Product Pages ให้หาง่าย รวมถึงจัดการแฮชแท็กให้เป็นระเบียบในการเสิร์ช รวมถึงลิงก์ไปยังโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ได้ด้วย

  • ตั้งชื่อ URL ให้ลิงก์กับแบรนด์ 

แม้เรื่องของ URL ดูจะเป็นเรื่องพื้นฐาน แต่ก็เป็นสิ่งที่แบรนด์ไหนมีเว็บไซต์แล้วต้องคิดให้รอบคอบ เพราะทั้ง URL ของบล็อก เว็บเพจ โปรดัก หรือคอลเลกชันต่าง ๆ ควรมีชื่อแบรนด์เพื่อแสดงถึงความเป็นแบรนด์ดิง รวมถึงชื่อโปรดักที่คนมักจะใช้คีย์เวิร์ดในการค้นหาด้วย

  • ใส่ Alt-text ในรูปภาพโปรดัก 

การใส่ Alt-text ในรูปภาพของโปรดักต่าง ๆ ไม่ได้มีไว้เพื่อกำกับชื่อของโปรดักเพียงเท่านั้น แต่ยังทำให้เวลามีคนเสิร์ชเกี่ยวกับโปรดัก และแบรนด์ของเรา จะมีรูปภาพนั้นขึ้นตามคีย์เวิร์ดที่ใส่ไปด้วย เรียกได้ว่ามีโอกาสเจอแบรนด์ในการเสิร์ชเพิ่มขึ้นก็ว่าได้

  • ใช้ Latent Semantic Indexing (LSI) 

คีย์เวิร์ด LSI คือ คีย์เวิร์ดแฝงที่ใกล้เคียงกับคีย์เวิร์ดหลักที่มีอยู่ หรือจะเรียกว่าเป็นคีย์เวิร์ดที่อันดับสองรองลงมาก็ว่าได้ เพราะหากโปรดักมีข้อมูลอะไรสำคัญ ก็สามารถนำ LSI มาตั้งได้ทันที โดยจะเป็นคำสั้น ๆ หรือประโยคยาว ๆ ก็ได้เช่นกัน เพียงแค่เกี่ยวกับโปรดักของแบรนด์ก็พอ

Best E-commerce SEO Tools

  • Avada SEO & Image Optimizer 

ปลั๊กอินตัวช่วยบูสต์ความเร็วของเว็บไซต์ โดยเฉพาะเวลาที่เข้าเว็บไซต์แล้วต้องพบกับโหลดดิง ซึ่งจะมีตัวเลือกทั้ง

  • SEO Scanner
  • HTML Site Map
  • 404 ERROR
  • Site Verification
  • Search Appearence

โดย Avada SEO จะช่วยให้เว็บไซต์ของแบรนด์หรือร้านค้ามี SEO ที่เหนือกว่าคู่แข่งได้ ผ่านการบีบอัดรูปภาพ รวมถึงปรับการค้นหาบนเว็บไซต์ให้ด้วย พร้อม Customer Support สแตนด์บาย 24 ชั่วโมง

  • SEOAnt 

ตัวช่วยที่นิยามตัวเองว่าเป็น AI-powered SEO เครื่องมือที่ช่วยให้ได้ยอด Traffic แบบออแกนิก เพื่อเว็บไซต์ถูกจัดอันดับอยู่ใน Ranking สูง ๆ รวมถึงยังช่วยประหยัดเวลา และขับเคลื่อนยอด Traffic ให้ดีขึ้นฟรีด้วย

  •  Google Analytics 

หากแบรนด์ไหนมีเว็บไซต์ และอยากดูรายงานการวิเคราะห์ Google Analytics นับว่าตอบโจทย์ที่สุด เพราะเป็นเครื่องมือฟรีที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้ โดยเฉพาะอินไซต์ของกลุ่มเป้าหมาย ทั้งในด้านของ SEO และ ROI

  • Ahrefs 

นับเป็นเครื่องมือ SEO ที่สาย E-commerce Marketing ในต่างประเทศใช้กัน เพื่อสร้างแคมเปญที่มี SEO และช่วยให้เว็บไซต์จัดไปอยู่ในลำดับสูง ๆ บน Google ได้ โดย Ahrefs จะใช้วิเคราะห์ทั้งกับ Keyword Research สำหรับ Google, Amazon และ YouTube

โดยสรุปแล้ววงการ E-commerce Marketing และเครื่องมือ SEO ต่าง ๆ ก็ยังคงมีการเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน เช่นเดียวกับอันดับเว็บไซต์ที่มีการจัดลำดับขึ้นลงต่างกันทุกวัน แต่สเต็ปเหล่านี้จะช่วยให้แบรนด์ของทุกคนที่ปรับตัวทัน สามารถสร้าง SEO ที่ดีเป็นของตัวเองได้

แต่ก็อย่าพึ่งพากับข้อมูล และวิธีการทำ SEO มากเกินไป จนลืมสิ่งสำคัญที่ควรโฟกัสควบคู่กัน อย่างออริจินัลคอนเทนต์ และสำรวจ backlinking ที่ต้องได้รับกลับมาเสมอ โดยมีคีย์เวิร์ดเป็นตัวเบิกทางให้กลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ได้มองเห็นเรามากขึ้นจากหน้าเสิร์ชบน Google ด้วย

ที่มา: https://www.shopify.com/blog/ecommerce-seo-beginners-guide#5

Copyright © 2024 RAiNMaker. All rights reserved.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save