จริง ๆ แล้วอย่างที่ทีมงาน RAiNMAKER ได้เคยเน้นย้ำอยู่เสมอว่า การทำคอนเทนต์นั้นคือการทำให้ผู้อ่านหรือ Audience ของเราพึงพอใจ แล้วการที่จะทำให้พวกเขาเหล่านั้นพึงพอใจได้ ก็มาจากการรับรู้ถึงความคาดหวัง แล้วถ้ายิ่งไปกว่านั้นก็คือการสร้างความคาดหวังขึ้นมาว่าพวกเขาจะได้เห็นอะไร ได้รับอะไร Value อะไรที่จะได้จากการทำคอนเทนต์ของเรา แล้วเราก็เพียงแค่มอบคุณค่าเหล่านั้นให้ Audience ก็เท่านั้นเอง
จริง ๆ แล้วศาสตร์ที่ใช้ในการทำคอนเทนต์ ไม่ใช่แค่ ทำอย่างไรให้ตลก ทำอย่างไรให้อธิบายได้ครบถ้วน แต่จริง ๆ แล้วเกิดจากการเข้าใจถึงวิธีการคิดของมนุษย์ และเรื่องของการสื่อสาร มนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องสื่อสารและการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้เราสามารถเลือกทำคอนเทนต์ได้ตรงกับที่ Audience ต้องการ
วันนี้ผู้เขียนจะมาแนะนำ 5 หนังสือที่เปลี่ยนมุมมองของผู้เขียน ในเรื่องของการทำคอนเทนต์ ซึ่งบอกก่อนว่าหนังสือทั้ง 5 เล่มนี้ ผ่านการอ่านมาหมดแล้ว ดังนั้นหลาย ๆ อย่างที่ผู้เขียนนำมาแนะนำในบทความต่าง ๆ ส่วนหนึ่งก็จะมาจากหนังสือเหล่านี้
Hit Makers
Hit Makers – How things become popular เล่มนี้เขียนโดยคุณ Derek Thompson อธิบายว่าสิ่งต่าง ๆ นั้น มีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้มันเกิดเป็นที่นิยมขึ้นมา ตั้งแต่เพลง, หนัง, ละคร และธรรมชาติของมนุษย์ในการเสพสิ่งต่าง ๆ นั้นมีความเป็นมาอย่างไร ทำไมดนตรีต้องมีความยาวเพียงแค่ 3 นาที เล่มนี้จะตอบคำถามเราได้ว่า ทำคอนเทนต์ควรยาวแค่ไหน, ทำไมต้องมีรูปประกอบบทความสวย ๆ ทำไมบางบทความ ไม่มีรูปประกอบแต่คนก็อ่าน
อีกสิ่งหนึ่งที่คุณ Thompson ยกมาพูดในหนังสือเลยก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเก่ากับสิ่งใหม่ มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาให้กลัวสิ่งใหม่และรู้สึกปลอดภัยกับสิ่งเก่า แต่มันจะมีจุดที่สิ่งเก่าแหละสิ่งใหม่สามารถนำมาใช้ร่วมกันได้เพื่อสร้างอะไรบางอย่าง เช่น เวลาที่เราจะอธิบายอะไรใหม่ ๆ เราอาจจะต้องยกตัวอย่างสิ่งที่คุ้นชินขึ้นมา เช่น Tomb Raider เป็นหนังแนว ๆ Indiana Jones ที่เป็นผู้หญิง หรือเหตุผลที่เราชอบฟังเพลงแบบ Remix, Mashup หรือจังหวะทำนองที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย, ทำไมเวลานักดนตรีเล่นสดแล้ว Solo กีตาร์ด้วยทำนองใหม่ ๆ แล้วคนกรี๊ด เป็นต้น
หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้เราเข้าใจธรรมชาติของคอนเทนต์ในโลกใบนี้มากขึ้น ตามหลักที่คุณ Thompson คิดไว้ว่า MAYA หรือ most advanced, yet acceptable
How to be heard
How to be heard – Secrets for Powerful speaking and Listening จริง ๆ หนังสือเล่มนี้อาจจะดูเน้นไปทางสอนการพูด สอน Public Speaking หรือสอนพูด TED แต่จริง ๆ แล้ว คุณ Julian Treasure เจ้าของหนังสือเล่มนี้อธิบายตั้งแต่รากฐานของการสื่อสารของมนุษย์ และนับว่าเป็นหนังสือที่เป็นตำราของคนเรียนสายนิเทศหลาย ๆ คนเลยทีเดียว คุณ Treasure อธิบายตั้งแต่ว่า Message คืออะไร, Context หรือบริบท มีความสำคัญอย่างไร, Noise ของการสื่อสารคืออะไร ทำไมคนเราถึงต้องเถียง ต้องพูดว่า “รู้แล้ว” แล้วไม่ยอมอ่านคอนเทนต์ของเรา ทำไมคนเราถึงแชร์บทความโดยที่ไม่อ่าน เขาต้องการสื่อสารอะไร
สิ่งสำคัญที่หนังสือเล่มนี้สอนก็คือการ Design Message เวลาที่เราจะทำคอนเทนต์ออกมาแต่ละตัวเราจะออกแบบมันอย่างไร สื่อสารอย่างไร Story Telling ที่แท้จริงคืออะไร เป็นหนังสืออีกหนึ่งเล่มที่เราควรอ่านแล้วทำความเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ในการสื่อสาร
Talk like TED
เป็นหนังสืออีกเล่มแนว ๆ How to be heard แต่เล่มนี้จะเน้นปฏิบัติมากกว่าทฤษฏี เขียนโดยคุณ Carmine Gallo นักเขียนชื่อดัง คุณ Gallo แกไปนั่งวิเคราะห์ TED และ TEDx หลายตอนจากทั่วทุกมุมโลกแล้วสรุปออกมาว่า Speaker แต่ละคนมีวิธีการออกแบบ Story ของตัวเองอย่างไร ทำไมบางคนต้องเล่าเรื่องก่อน ทำไมบางคนขึ้นมาด้วยการตั้งคำถาม ทำไมบางคนขึ้นมาด้วยกระเปิดประเด็น แม้กระทั่งความเงียบ ที่คุณ Gallo แกบอกว่า การเงียบนั้นก็เป็นการสื่อสารอย่างนึงเช่นกัน
ถ้าอ่านเล่มนี้เราจะได้เข้าถึงวิธีการออกแบบเรื่องราวที่เราจะใช้ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบทความ, การทำวิดีโอ หรือแม้กระทั่งการใช้ Social Media ต่าง ๆ สามารถนำเอาไปใช้ได้หมด เพราะเราจะรู้ว่า Story ที่ดีต้องมีอะไรบ้าง แล้วเราจะถ่ายทอดมันออกมาอย่างไร
Jab, Jab, Jab, Right Hook
หนังสืออีกเล่มที่ถูกพูดถึงมากในสายการตลาดและคอนเทนต์มาร์เกตติง Jab, Jab, Jab, Right Hook – How to Tell Your Story in a Noisy Social World เขียนโดย Gary Vaynerchuk เป็นนักธุรกิจชื่อดังที่ประสบความสำเร็จมาก ๆ คนนึง นอกจากการสร้างแรงบันดาลใจและการทำ Vlog บน YouTube แล้ว คุณ Vaynerchuk แกก็ได้เขียนหนังสือเล่มนี้ออกมาเพื่อสอนวิธีการสื่อสาร และการทำการตลาดด้วยคอนเทนต์
เราจะได้เรียนรู้หลาย ๆ เรื่องที่สำคัญมากในการทำคอนเทนต์ เช่น Content is King แต่ Context is God คอนเทนต์สำคัญ แต่บริบทคือพระเจ้า (อยากเข้าใจเรื่องบริบทอย่างลึกซึ้งต้องไปอ่าน How to be heard ของ Treasure) ไปจนถึงเรื่องการการสื่อสาร และการเน้นย้ำความสำคัญว่าทุกคน ทุกบริษัท ทุกแบรนด์ เป็นนักสื่อสารหมด และต้องสื่อสาร แค่สื่อสารดีก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว ตามชื่อ subtitle ของหนังสือเลยว่า How to Tell Your Story in a “Noisy” Social World และแน่นอนว่าถ้าอยากรู้ธรรมชาติของ Noise แบบลึก ๆ ก็ไปอ่าน How to be heard
The Apple Experience
เล่มนี้จริง ๆ ไม่ได้เกี่ยวกับการทำคอนเทนต์โดยตรง แต่เป็นเรื่องของการออกแบบประสบการณ์ ซึ่งมันจะอยู่ในขั้นการตอบสนอง Expectation หรือความคาดหวัง ตามที่เราบอกไปว่าการสร้างความคาดหวังและตอบสนองความคาดหวังเป็นศาสตร์ที่ทำให้การทำคอนเทนต์ประสบความสำเร็จ แต่ไม่ใช้คอนเทนต์ Apple บริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกก็ใช้วิธีคิดแบบนี้เช่นกัน
เล่มนี้เขียนโดย Carmine Gallo คนเดียวกับที่เขียน Talk Like TED (ความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนคือ Gallo แกเขียนหนังสือสนุกจริง ๆ) เล่มนี้จะพูดถึงเรื่องการสร้างประสบการณ์ และการสื่อสาร เป็นเล่มที่สาย Touch point ต้องอ่านเป็นอย่างมาก จะเน้นเล่ากรณีศึกษาหลาย ๆ อย่างเช่น เวลามีคนโมโหเข้าร้าน Apple Store เข้ามา เราจะสื่อสารอย่างไรให้เขาเดินยิ้มออกไป หรือ เวลาที่ลูกค้าเดินเข้ามาเพื่อซื้อสินค้า Gallo บอกว่าวิธีการคิดของ Apple คือ เขาไม่ได้เดินมาซื้อสินค้าแบบเป็นชิ้น ๆ เช่น iPad แต่เขาเดินเข้ามาเพื่อซื้อ Solution วิธีการก็คือ อย่าขายสินค้า ให้ขาย Solution ให้รู้ว่าความคาดหวังของเขาคืออะไร เช่น เอาไปต่อกล้อง, เอาไปวาดรูป หรือเอาไปเรียน แล้วเราจะขายสินค้าได้หลายตัว เช่น Adapter (ฮา) แต่ที่ตลกคือ เขาจะไม่คิดว่าต้องซื้อสินค้าหลายตัว เขาจะคิดว่าเขาได้ทุกสิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ
สุดท้ายแล้ว การทำคอนเทนต์ที่ดี หรือการเรียนรู้การทำคอนเทนต์ ไม่ได้เกิดจากการรู้ว่าจะอัพโหลดวิดีโอ YouTube ยังไง จะทำ Story IG ยังไง จะใช้โปรแกรมอะไรดี แต่การทำคอนเทนต์นั้นคือการเข้าใจศาสตร์ของการสื่อสารของมนุษย์ ซึ่งมนุษย์ใช้กันมาเป็นพัน ๆ ปี เพียงแต่ว่าเราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยสื่อยุคใหม่ต่าง ๆ รวมถึง Social Media ซึ่งนับว่าเป็นอุปกรณ์สื่อสารที่แทบจะซับซ้อนที่สุด เราจะใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร และทำอาชีพของเราอย่างไรให้มีประสิทธิภาพที่สุดในฐานะ นักสื่อสารแห่งยุค Social