Apple ได้เปิดตัว iPhone รุ่นล่าสุด และนับว่าเป็นครั้งแรกที่ Apple ใช้คำว่า “Pro” กับ iPhone ซึ่งคุณสมบัติที่ Apple นำมาชูเพื่อให้สมกับคำว่า Pro นั้นก็มีอยู่เพียงไม่กี่อย่าง แต่สิ่งที่เด่นที่สุดเลยก็คือเรื่องกล้อง กล้องบน iPhone 11 Pro นั้นมาพร้อมกับกล้อง 3 ตัวในขณะที่ iPhone 11 ธรรมดามาพร้อมกับกล้อง 2 ตัว
ในช่วงนี้กระแสของการทำ Blog, Vlog กำลังมาแรง รวมถึงสิ่งที่เรียกว่า Mojo หรือ Mobile Journalism คือการใช้โทรศัพท์มือถือของเรานี่แหละในการทำคอนเทนต์ ถ่ายภาพ ตัดคลิป Live โดยที่ใช้คอมพิวเตอร์น้อยที่สุดและจบงานได้บนมือถือของเรา การที่ iPhone 11 และ 11 Pro ออกมา ก็น่าจะช่วยให้การกระทำเหล่านี้ง่ายและสะดวกขึ้น ซึ่งวันนี้เราจะมาลองค่อย ๆ ไล่ดูคุณสมบัติของ iPhone 11 และ 11 Pro กันว่ามีตรงไหนที่ช่วยเราให้ทำคอนเทนต์ด้วยมือถือเก่งขึ้นได้บ้าง
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ผู้เขียนเป็นบล็อกเกอร์ที่ไม่มีกล้อง DSLR หรือ Mirrorless เป็นของตัวเอง ดังนั้นคอนเทนต์หลาย ๆ ตัวตั้งแต่ภาพ หรือวิดีโอต่าง ๆ จะใช้การถ่ายจาก iPhone ทั้งหมด ซึ่ง iPhone ที่เคยใช้ในการทำงานหนัก ๆ ก็ได้แก่ iPhone 8 และ iPhone XR ซึ่งผ่านสมรภูมิการทำงานทั้งในไทยและต่างประเทศ เคยนำ iPhone เครื่องเดียวไปอเมริกา 1 สัปดาห์และทำคอนเทนต์รัว ๆ ด้วย iPhone ทั้งตัดคลิป Vlog ต่าง ๆ มากมาย ทำให้พอเข้าใจทั้งข้อจำกัดและสิ่งที่ iPhone อำนวยความสะดวกให้กับเรา
กล้อง Ultra-Wide นี่แหละที่เราต้องการ มันดีอย่างไร
ฟีเจอร์เกี่ยวกับกล้องที่น่าว้าวที่สุดของ iPhone 11 และ 11 Pro ก็ได้แก่กล้องนั่นเอง ซึ่ง
- iPhone 11 มาพร้อมกล้อง Wide และ Ultra-wide
- iPhone 11 Pro มาพร้อมกล้อง Wide, Ultra-wide และ Tele
จะสังเกตว่า Apple ได้เพิ่มกล้อง Ultra-wide มาให้กับ iPhone ทุกรุ่นที่ออกใหม่ ซึ่งคุณสมบัติของมันก็ตามที่บอก ทำให้เราถ่ายรูปและวิดีโอมุมกว้างมากขึ้น ทำให้ภาพดูแปลกตา เนื่องจาก iPhone ยังไม่เคยมีคุณสมบัตินี้มาก่อน ดังนั้น Apple แทบจะเอาจุดนี้มาขาย แม้ว่าฟีเจอร์เลนส์กว้างแบบนี้จะมีในมือถือ Android รุ่นอื่นแล้ว แต่ สิ่งที่ทำเรื่องง่าย ๆ นี้กลายเป็นเรื่องน่าว้าวของ Apple เพราะ Ecosystem ของ Apple (เช่นการ AirDrop การ Sync รูปต่าง ๆ)
ในขณะที่กล้อง Tele กลายเป็นคุณสมบัติเฉพาะของ iPhone 11 Pro เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ก็มาถึงคำถามที่ว่าแล้วกล้อง Tele นั้นจำเป็นจริงหรือเปล่า ย้อนหลับไปตอน iPhone 7 เหตุผลที่ Apple ใส่กล้อง Tele มาเพราะต้องการให้ถ่ายแบบหน้าชัดหลัดเบลอได้ ภายหลัง Apple มาใช้การประมวลผลภาพด้วย Software แทน ทำให้ iPhone XR ถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอได้ แต่เนื่องจากเป็นการวิเคราะห์ภาพ ทำให้การเบลอฉากหลังทำได้เฉพาะภาพคนเท่านั้น แต่ใน iPhone รุ่นใหม่นี้ Apple ก็ได้พัฒนาให้เราสามารถถ่ายหลังเบลอกับวัตถุอื่น ๆ หรือสัตว์เลี้ยงได้ด้วย ทำให้ภาพที่จะออกมานั้นมีความหลากหลายขึ้น
ที่แน่ ๆ คือกล้องหน้าชัดขึ้น ถ่าย 4K ได้แล้ว
สิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้และสาย Vlog น่าจะชอบก็คือ กล้องหน้าชัดขึ้นแถบถ่ายได้แบบ 4K เท่านั้นยังไม่พอ Apple ใส่คุณสมบัติ Slowmotion มาด้วยในชื่อว่า Slowfies ซึ่งเกิดจากการที่ Apple อัพเกรดกล้องหน้าให้คมชัด 12 ล้านพิกเซล ทำให้ตอนนี้กล้องหน้า iPhone 11 และ 11 Plus แทบจะเทียบเท่ากล้องหลังแล้ว เวลาถ่ายวิดีโอ เราจะเห็นความแตกต่างของมันน้อยลง รวมถึง Apple ก็ได้ปรับมุมของกล้องหน้าให้กว้างขึ้นเล็กน้อยด้วย สามารถเก็บภาพเวลาถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหน้าได้กว้างขึ้น
Night Mode ถ่ายกลางคืนได้ แต่ยังไม่คมนะ
Apple เพิ่มความสามารถของการทำ Night Mode ให้ดีขึ้นทั้งบน iPhone สองรุ่น อย่างไรก็ตามภาพที่ออกมานั้นก็อาจจะไม่ได้ชัดเท่ากล้องแบบ Pro จริง ๆ แม้ว่ารายละเอียดของภาพอาจจะดูเก็บได้พอสมควร แต่เรื่องของความคมนั้นการถ่ายในแสงมืดทำให้เรายังดูออกอยู่ดีกว่าอันนี้ถ่ายด้วย iPhone
โปรแกรมตัดต่อในเครื่องดีขึ้น เพิ่ม Effect ใน Portrait
ใน iPhone 11 มีการปรับปรุงให้เอื้ออำนวยกับการถ่ายวิดีโอเป็นอย่างมาก และ Apple ก็ได้ใส่คุณสมบัติการแก้ไขวิดีโอเข้ามาโดยไม่ต้องลงแอพเสริมด้วย เช่น การหมุนวิดีโอ การครอบ ทำมุมกว้าง แคบ หรือแม้กระทั่งใส่ Filter ง่าย ๆ บน Video รวมถึงในโหมดถ่ายภาพบุคคลก็มีคุณสมบัติถ่ายภาพให้เป็นพื้นหลังขาว (จากเดิมที่จะมีแต่พื้นดำ) ทำให้เหมือนไปถ่ายในสตูดิโอ
สรุปทั้งสองรุ่น ทำอะไรได้ ไม่ได้บ้าง
สิ่งที่ทำได้ทั้ง iPhone 11 และ iPhone 11 Pro
- ถ่ายภาพมุมกว้าง
- ซูมเข้าซูมออกได้แบบเนียน ๆ (ระหว่าง Wide, Ultra-wide)
- ถ่ายกล้องหน้าและหลัง 4K 60FPS
- ถ่ายกล้องหน้าและหลัง Slowmotion (Slowfies)
- ถ่ายภาพ Portrait แบบหน้าชัดหลังเบลอกับวัตถุ
สิ่งที่ iPhone 11 ทำไม่ได้ แต่ iPhone 11 Pro ทำได้
- ถ่ายภาพระยะไกลด้วยกล้อง Tele
- ซูมเข้าซูมออกได้แบบเนียน ๆ (ระหว่าง Tele, Wide, Ultra-wide)
ดังนั้นจะเห็นว่าความสามารถที่ต่างกันของทั้ง 2 รุ่นได้แก่เลนส์ระยะ Tele เท่านั้นเอง ถ้าไม่นับรวมคุณสมบัติด้านอื่น ๆ เช่น ขนาดและประเภทของหน้าจอ ปริมาณของแบต และวัสดุที่ใช้ จะพบว่าทั้ง iPhone 11 และ 11 Pro มีความใกล้เคียงกันมาก
คุ้มไหมถ้าจะซื้อมาทำงาน
ถ้าใครที่ใช้ iPhone ในการทำงานมาก่อนอยู่แล้ว ก็จะพอเข้าใจว่า iPhone ถ้าใช้กับ Mac แล้ว จะเรียบเนียนไร้รอยต่อมาก แต่ถ้าใช้ iPhone เปล่า ๆ ก็ยังนับว่าสะดวกมาก ๆ อยู่ เพราะแอพต่าง ๆ ที่ถ้าลงเพิ่มหรือใช้งานของเดิมที่มีอยู่ในแง่ของซอฟแวร์ การมาของ iPhone 11 นั้นเหมือนกับเป็นการช่วยเรื่องกล้อง โดยเฉพาะการถ่ายภาพมุมกว้าง ซึ่งตรงนี้นับว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ iPhone มีคุณสมบัติในด้านของกล้องที่ไม่เคยมีมาก่อนจริง ๆ และพอนำ Footage ที่ได้ลองถ่ายมาใช้น่าจะสร้างความแปลกตาได้มากพอสมควร ส่วนคุณสมบัติเรื่องการ Zoom ระหว่าง 3 เลนส์ อันนี้ก็จะช่วยให้วิดีโอของเรามีลูกเล่นมากขึ้นเหมือนกับใช้กล้องที่มีเลนส์หมุนได้
ท้ายที่สุดแล้ว เครื่องมือก็คือสิ่งที่ถ่ายทอดความคิดของเราออกมาให้คนอื่นได้เห็น แต่ละคนอาจจะถนัดเครื่องมือที่แตกต่างกันไป แต่ถ้าเราถนัดที่จะใช้ iPhone แล้วละก็ iPhone 11 ด้วยสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างเลนส์มุมกว้างก็น่าจะช่วยให้เราปลดล็อกขีดจำกัดของความคิดสร้างสรรค์ได้มากเลยทีเดียว