แม้ว่าการใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ต้องบอกว่าอีเมลเป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับกลยุทธการตลาดดิจิทัลอยู่ดี ซึ่งแน่นอนว่าสิทธิ์ในการเข้าถึงกล่องจดหมายของแต่ละคนนั้นเรียกได้ว่าล้ำค่า และสามารถถูกยกเลิกได้ทุกเมื่อที่รู้สึกไม่พอใจ หรืออาจกลายเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในธุรกิจได้เช่นเดียวกัน เรามาดูสถิติสำคัญเกี่ยวกับการตลาดทางอีเมล เพื่อเอาไปปรับใช้ให้ทุกอีเมลที่ส่งออกไปมีประสิทธิภาพมากที่สุดกัน
สถิตินี้ รวบรวมโดยทีมงานจาก Email Tool Tester โดยพบว่าค่าเฉลี่ยของจดหมายอยู่ในเมลอยู่ที่ 200 ข้อความ ในจำนวนผู้ใช้ 4.3 พันล้านคน นั่นหมายถึง เราต้องหาทางโดดเด่นท่ามกลางกอง Inbox กว่า 808 พันล้านข้อความให้ได้ และถ้าถามถึงความคุ้มค่าของการทำการตลาดแบบอีเมล ก็ต้องตอบว่าคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มด้วย ROI 4400% (ตรวจสอบแล้ว ไม่ได้เขียนผิด) ทุก 1 ดอลลาห์ที่ใช้จ่ายไปเพื่อการตลาดแบบอีเมล จะได้กลับมาถึง 44 ดอลลาห์เลยทีเดียว
มาดูจุดเด่นของการทำ Email Marketing กัน
- การส่งอีเมลส่วนบุคคลที่มีชื่อระบุ และการตั้งชื่อหัวเรื่อง ส่งผลต่อการคลิกเปิดอีเมลอย่างมีนัยสำคัญ
- การเปิดอีเมลส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนเดสก์ท็อปกว่า 76% ดังจึงควรจัดองค์ประกอบ หรือจัดรูปแบบเวอร์ชันเดสก์ท็อปมากกว่า
- อีเมลที่มีความยาวน้อยกว่า 200 คำ มีแนวโน้มที่จะได้รับความสนใจและการปฏิสัมพันธ์มากกว่า
- 14.8% ของอีเมลทั้งหมดมักจะหล่นหายไปอยู่กล่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่กล่องข้อความหลัก หรือถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มสแปม (Spam)
การทำการตลาดแบบอีเมล ในรูปแบบ B2C (จากแบรนด์ถึงผู้บริโภค)
- 59% ของการทำการตลาดด้วยอีเมล มีส่วนช่วยในการตัดสินใจมากขึ้น
- 50% ของผู้บริโภคเผยว่า พวกเขาได้ซื้อของจากการทำการตลาดด้วยอีเมล อย่างน้อย 1 ครั้งต่อเดือน
การทำการตลาดแบบอีเมล ในรูปแบบ B2B (ธุรกิจระหว่างแบรนด์ด้วยกัน)
- 87% ขององค์กร ใช้อีเมลเป็นช่องทางสำหรับเผยแพร่เนื้อหา
- 90% ขององค์กรใช้การมีปฏิสัมพันธ์กับอีเมลเป็นตัววัดวัดประสิทธิภาพของเนื้อหา
สถิติเกี่ยวกับองค์ประกอบในอีเมล มีผลอย่างไรบ้าง
ใช้มาตรวัด 3 ตัว ได้แก่ OR (Open rate หรืออัตราการเปิดอีเมล) CTR (Click-through rate หรืออัตราการกดลิงก์ในอีเมล ซึ่งนับโดยไม่คิดถึงจำนวนผู้รับที่เปิดอีเมล) และ CTOR (Click-to-open rate หรืออัตราผู้รับอีเมลที่ไม่ซ้ำ ที่เปิดอีเมลและคลิกลิงก์ในอีเมล)
- อีเมลต้อนรับ มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เป็นการบอกทิศทางของอีเมลและสิ่งที่ผู้บริโภคจะได้รับผ่านทางอีเมลต่อจากนี้ 86% OR, 25% CTR , 29% CTOR
- การใช้หัวเรื่อง
- หากมี จะได้ 22% OR, 3.3% CTR , 14% CTOR
- หากไม่มี จะได้ 19% OR, 2.2% CTR , 11% CTOR
- การใช้รูปภาพประกอบภายในอีเมล
- หากมี จะได้ 21% OR, 2.6% CTR , 12% CTOR
- หากไม่มี จะได้ 15% OR, 1.5% CTR , 10% CTOR
- การใช้อีโมติคอน เพื่อเน้นให้หัวข้อโดดเด่นขึ้น หากมีจะได้ 20.37% OR หากไม่มีจะได้ 19.37% OR
- การส่งแบบไม่ระบุตัวตน จะได้ 19% OR หากมีชื่อด้วยจะได้มากกว่า 22% OR
อัตราการเปิดอีเมลแต่ประเภท
- อีเมลข่าว 20%
- อีเมลต้อนรับ 82%
- Triggered Email (อีเมลที่เป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติต่อการกระทำเฉพาะของสมาชิก) 44%
- Autoresponder (การตอบกลับอีเมลอัตโนมัติที่เกิดจากการตั้งค่าไว้) 30%
Rss Email (อีเมลอัตโนมัติที่ส่งถึงสมาชิกทุกครั้งที่มีการเผยแพร่เนื้อหาใหม่บนเว็บไซต์) 27%
สิ่งที่ควรทำ และไม่ควรทำ
ควร
- ใช้หัวข้อที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจง
- ส่งอีเมลเวลาที่ผู้บริโภคมีการซื้อสินค้าของแบรนด์มากที่สุด
- ทำให้ CTA (call to action) มีความโดดเด่น
- เขียนเพื่อให้ง่ายต่อการอ่านบนสมาร์ทโฟน แต่จัดองค์ประกอบที่อ่านบนเดสก์ท็อปก็เข้าใจ
ไม่ควร
- ใช้หัวข้อเรื่องแบบคลิกเบต
- ใช้สำเนียงน่าตื่นเต้นจนเกินไป เพราะอาจดูเหมือนเป็น Scammer
- ไม่วัดผลลัพธ์ ควรใช้การวัดผลหลายรูปแบบเพื่อดูว่าวิธีไหนเหมาะกับการทำการตลาดแบบอีเมลมากที่สุด
ที่มา SocialMediaToday, Email Tool Tester