จากที่ Apple ปล่อยตัวเบต้าของ iOS 15 ออกมาให้นักพัฒนาได้ทดลองใช้ และจะเปิดให้สามารถใช้งานได้ในช่วงเดือนกันยายนหรือเดือนตุลาคมนี้ โดยมีการอัปเดตฟีเจอร์เพิ่มขึ้นมามากมาย ซึ่งจะมีฟีเจอร์อะไรน่าสนใจบ้าง ไปดูกันเลยดีกว่า!
FaceTime
มีการปรับฟีเจอร์ต่างๆ เพื่อการทำงานที่เทียบเท่ากับโปรแกรมประชุมออนไลน์ ดังนี้
- รองรับ Spatial Audio ปรับเสียง
- เพิ่ม Grid และโหมด Portrait ในวิดีโอ
- สร้างลิงก์จาก iPhone, iPad หรือ Mac แล้วแชร์ต่อได้
- สามารถเข้าร่วมการโทร FaceTime จากเว็บไซต์ได้ทั้งบน Android และ Windows
- เพิ่ม SharePlay ที่สามารถแชร์หน้าจอขณะ FaceTime ได้ ซึ่งสามารถใช้งานร่วมกับ แอปพลิเคชันที่เป็น third-party และบริการสตรีมมิงที่ใช้ API สำหรับนักพัฒนา (สามารถใช้งานได้กับ Disney+, Hulu, HBO Max, TikTok, NBA, Twitch และอื่นๆ )
Messages
- เพิ่มฟีเจอร์ Shared with You เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึงคอนเทนต์ต่างๆ โดยระบบจะนำคอนเทนต์จากในข้อความมาแสเงให้เห็นทั้งในแอปรูปภาพ, Safari, Apple News, เพลง, พอดแคสต์ เป็นต้น
Notifications
- รวมแจ้งเตือนทั้งหมดไว้ที่เดียว และสามารถเลือกดูการแจ้งเตือนทั้งหมดได้เมื่อไหร่ก็ได้
- เพิ่มฟีเจอร์ Focus เมื่อเปิดใช้งานโหมด Do Not Disturb สถานะจะแสดงให้คนอื่นบน iMessages เห็น นอกจากนี้ยังสามารถตั้งโหมดอื่นๆ ได้เพิ่มเติม เช่น Work, Sleep และอื่นๆ
- เปลี่ยนไอคอนของการแจ้งเตือนให้ใหญ่ขึ้น เพื่อการมองเห็นที่ชัดเจน
Photos
- เพิ่มฟีเจอร์ OCR เข้ามาเพื่อให้สามารถตรวจจับตัวอักษรและตัวเลขได้จากภาพ ซึ่งทำงานอัตโนมัติโดยระบบ AI
- Photos แสดงอยู่บนแถบ Spotlight search แล้ว
- เพิ่มฟีเจอร์ Interactive memories
Wallet
- เพิ่มการรองรับกุญแจหลากหลายมากขึ้น ทั้งบ้าน ที่ทำงาน และห้องโรงแรม และจะมี Identify cards ตามมาหลังจากปีนี้ ซึ่งจะมีการเข้ารหัสและถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัยใน Secure Enclave
Weather
- เปลี่ยนการดีไซน์ใหม่ แสดงผลแบบเต็มหน้าจอ โดยอิงข้อมูลจากสภาพอากาศในพื้นที่นั้นๆ
Maps
- เพิ่มรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับเมือง ย่านการค้า อาคาร ทางคนข้าม และอื่นๆ รวมถึงเพิ่มโหมดเวลากลางคืน
- เพิ่มฟีเจอร์ Nearby Transit หรือฟีเจอร์จุดขนส่งสาธารณะใกล้เคียง และแจ้งเตือนเมื่อใกล้ถึงเวลาลงจากพาหนะ
- Apple Maps นำทางแบบ AR รูปจากสถานที่จริง
- เพิ่มโหมดเมืองแบบ 3 มิติ ขณะนำทางด้วย iPhone หรือ CarPlay
Safari
- ปรับดีไซน์ใหม่ให้ควบคุมหน้าจอได้ง่ายด้วยมือเดียว และแถบของเว็บไซต์ที่อยู่ด้านล่างของหน้าจอ
- เพิ่ม Tab Groups ให้บันทึกแถบเก็บไว้ได้ทั้งบน iPhone, iPad หรือ Mac
Notes
- เพิ่มแฮชแท็กในโน้ตได้ รวมถึงสามารถทำงานร่วมกันกับผู้อื่น โดยการแท็ก และเห็นอัปเดตกิจกรรมเวลามีการแก้ไขลงในประวัติการแก้ไขในโน้ตที่แชร์ไว้
iPad
- เพิ่ม Widgets บน และ iPad Library
- Multitasking ในใช้งานหลายหน้าต่างพร้อมกัน
โดยอุปกรณ์ที่สามารถรองรับ iOS 15 ได้มีดังนี้
- iPhone ตั้งแต่รุ่น iPhone 6s จนถึง iPhone 12
- iPod Touch รุ่นที่ 7
- iPad Air (รุ่นที่ 2-4), iPad mini (รุ่นที่ 4,5), iPad (รุ่น 5-8), iPad Pro (รุ่น 9.7 นิ้ว, 10.5 นิ้ว), iPad Pro รุ่น 11 นิ้ว (รุ่นที่ 1-3) และ iPad Pro รุ่น 12.9 นิ้ว (รุ่นที่ 1-5)
นอกจากนี้ Apple ได้ระบุว่า iOS 15 จะเพิ่ม 2 ทางเลือกให้กับผู้ใช้งาน คือ สามารถเลือกที่จะอัปเดตเป็น iOS 15 หรือยังใช้ iOS 14 ต่อไปจนกว่าจะอยากอัปเดตก็ได้ จากเดิมที่ให้เลือกได้แค่จะติดตั้งหรือไม่ติดตั้งเท่านั้น
ที่มา: 9To5Mac, Apple Newsroom