เป็นที่ทราบกันดีว่าในช่วงนี้ที่ฮ่องกง ได้มีการประท้วงต่อนโยบายของจีนที่กระทำต่อฮ่องกงคล้ายกับในปี 2014 ที่เกิดปรากฏการณ์ Umbrealla Movement มาจนถึงปัจจุบัน นักโทษการเมืองหลายคนก็ยังไม่ได้ถูกปลดปล่อย รวมถึงแกนนำทางการเมืองหลาย ๆ คนก็ยังต่อสู้เพื่อปลดปล่อยฮ่องกง รวมถึงโจชัว หว่อง ที่เคยขึ้นปกนิตยสาร TIME มาแล้ว
เราได้เห็น Social Media มีอิทธิพลและเปลี่ยนโฉมหน้าการประท้วงต่าง ๆ มาตั่งแต่ในช่วง Arab Spring ที่ประเทศในกลุ่มอาหรับเรียกร้องอิสรภาพ และใช้ Social Media เป็นหนึ่งในเครื่องมือ เช่น การส่งต่อข่าว การนัดรวมกลุ่มกัน ซึ่งเราเคยเล่าไว้ในบทความ ทำไมโซเชียลมีเดียถึงเผยด้านลบของเราได้ง่ายกว่าด้านดี และวิธีทำคอนเทนต์ให้โลกดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามทางฝ่ายขั้วอำนาจ ก็ได้ใช้ Social Media เป็นเครื่องมือทำลายล้างที่สำคัญเช่นกัน จากกรณีการยิงโฆษณาจากฝั่งรัสเซียเพื่อแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยใช้ข้อมูลจาก Cambridge Analytica รวมถึงในไทยเอง เราก็ยังเคยเล่าเรื่อง ทำไมเราถึงควรตระหนักเรื่องการหาเสียงบนโซเชียล ปัญหาครั้งแรกที่คนไทยต้องเผชิญ ไปแล้ว
ภาพรวมของ Social Media ในการประท้วงฮ่องกง
ตั้งแต่การประท้วง Umbrella Movement นั้น Twitter ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญร่วมกับ Social Media อื่น ๆ ที่ทำให้โลกได้เห็นพลังของชาวฮ่องกงและการต่อสู้กับรัฐบาลจีน จน Twitter ในตอนนั้นเลือกเอาภาพการประท้วงของฮ่องกงมาเป็นภาพในหน้า login อยู่ซักพักนึง สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบันที่การประท้วงกลับมารุนแรงขึ้นอีกครั้งในเดือน กรกฎาคม และสิงหาคม 2019 ชาวฮ่องกงก็ได้ใช้ Social Media ในการสื่อสารให้โลกได้รับรู้ถึงความต้องการของพวกเขา อย่างไรก็ตาม จีนเองก็เช่นกัน เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อทาง Twitter, Facebook, Google และสำนักข่าวต่าง ๆ เช่น Bloomberg , Buzzfeed News และอื่น ๆ ได้เห็นความผิดปกติคือ สำนักข่าว Xinhua ของจีน (ซึ่งนำเนินการโดยรัฐบาล) ได้มีการซื้อโฆษณาเพื่อให้ชาวต่างประเทศ ได้เห็นเนื้อหาของตน ซึ่งเล่าว่ามีชาวฮ่องกงอีกจำนวนมากที่ไม่ได้สนับสนุนการประท้วง อย่างไรก็ตาม ต้องเข้าใจก่อนว่าในประเทศจีนนั้น มีการปิดกั้น Social Media เช่น Facebook, Twitter, Google อยู่แล้ว จึงพอรู้ได้ว่า การกระทำแบบนี้ทำมาเพื่อเปลี่ยนมุมมองของประเทศภายนอกต่อการประท้วงในฮ่องกง
BuzzFeed บอกว่าเจอทวีตมากกว่า 50 ทวีตในรูปแบบของโฆษณา หลังจากนั้นไม่นาน Twitter ก็ออกมาประกาศว่าได้แบนบัญชีการใช้งานกว่า 936 บัญชี รวมถึงห้ามไม่ให้รัฐบาลจีนและสื่อที่ดำเนินงานโดยรัฐบาลจีนซื้อโฆษณาบน Twitter แต่เรื่องราวไม่จบแค่นี้ เพราะย้อนกลับไปดูจะพบว่า มีคนในจาก Twitter เอง ให้การสนับสนุนการซื้อโฆษณา สอนการยิง Ads และไป Verify บัญชีเหล่านี้ให้เป็นเครื่องหมายติ๊กถูกเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
สำหรับรูปแบบการทวีตนั้น ส่วนมากจะเป็นการลงข่าวเชิงบอกว่า ผู้ประท้วงเป็นภัยต่อสังคม “ส่วนใหญ่” และบอกว่าชาวฮ่องกงจำนวนมาก ไม่เห็นด้วยกับกลุ่มผู้ประท้วง ลักษณะก็จะมีตั้งแต่การ์ตูน ข่าว วิดีโอความรุนแรงต่าง ๆ เพื่อให้มองว่าชาวฮ่องกงนั้นประท้วงกันได้ความรุนแรง มีการใช้คำว่า Stop the violence, for a better Hong Kong
ที่น่ากลัวก็คือจีนได้ใช้บุคคลสำคัญ ๆ เช่นทูตประจำประเทศต่าง ๆ ทวีต, โพสต์ ข้อความ หรือแชร์ข่าวจากสำนักข่าวของจีนออกไปด้วย (บุคคลเหล่านี้มีบัญชีที่ถูก verify เรียบร้อยแล้ว)
แม้ว่าทาง Twitter จะแก้ปัญหาด้วยการบล็อกบัญชีเหล่านี้ไปแล้ว แต่หลาย ๆ Social Media เช่น Facebook และ YouTube ก็ได้พบการเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกันบน Platform ของตัวเองเป็นระยะ ๆ รวมถึงการซื้อ Ads ด้วย และเริ่มออกมาเปิดเผยพฤติกรรมเหล่านี้
BBC ได้ออกมารายงานต่อว่า Google ได้ระงับบัญชี YouTube มากกว่า 210 บัญชี แต่ก็ไม่ได้รายงานว่าจะทำเหมือนกับ Twitter คือจะไม่ยอมให้รัฐบาลจีนซื้อโฆษณาหรือเปล่า
สำหรับในกรณีเช่นนี้ การที่ Social Media ออกมาประกาศว่าได้ลบบัญชีนั้นก็เป็นหนึ่งในการแสดงความรับผิดชอบ และป้องกันผลที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ เพราะอย่าลืมว่า Echo Chamber เสียงก้องแห่งโลกโซเชียล ยังทำงานอยู่ และเราก็เลือกที่จะเชื่อหรือได้ยินหรือได้เห็นสิ่งที่เราต้องการจะเชื่อ ในบางครั้งอาจจะกลายเป็นถูกชักนำให้ทำหรือไม่ทำอะไรบางอย่างได้ ก็ต้องรอดูกันว่าจะมีอัพเดทอะไรมาจากพฤติกรรมการใช้งานจากฝั่ง Social Media ในการประท้วงที่ฮ่องกงครั้งนี้อีก เพื่อเป็น casestudy ให้เราต่อไป เพราะนับตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา เป็นเวลากว่า 10 ปีที่ social media ได้พาให้เกิดการปฏิวัติแบบ Revolution 2.0 คือการไม่มีแกนนำ ไม่มีเวทีชุมนุม แต่ทุกคนสื่อสารผ่านกันได้บนโลกอีกโลกหนึ่งที่มองไม่เห็น ที่เรียกว่าอินเทอร์เน็ต
เรียบเรียงโดย ทีมงาน RAiNMAKER