ในช่วงนี้เราจะเห็นว่ามีการขึ้น Hash Tag DeleteFacebook ในต่างประเทศ รวมถึงก็มีข่าว Facebook หุ้นตก และผู้บริหาร Facebook ก็เตรียมลาออก ดราม่านี้เกิดจากเรื่องราวที่ถูกมองว่าเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวอย่างรุนแรง ที่เกิดจากการที่ข้อมูลผู้ใช้จำนวนมากของ Facebook ถูกส่งต่อไปยังบริษัทที่ใช้ข้อมูลในการทำเคมเปญด้านสังคมไปถึงการทำการหาเสียงให้แก่พรรคการเมือง
เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อมีอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ได้ทำแอพแนว ๆ คำถามบน Facebook ซึ่งแอพนี้จะมีการเก็บข้อมูลต่าง ๆ เช่น เพื่อน หรือการกดไลค์ ก็เช่นเดียวกับแอพ Facebook ทั่วไป แต่ดราม่าดันมาเริ่มต้นเมื่อ อาจารย์คนนี้ได้ส่งข้อมูลที่เก็บได้ให้กับ Cambridge Analytica ซึ่งเป็นบริษัททำแคมเปญทางการเมือง ที่ในปี 2016 ช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ Cambridge Analytica ก็มีส่วนร่วมในการทำเคมเปญหาเสียงนี้ด้วย
Cambridge Analytica เป็นบริษัทเดียวกับที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีความเกี่ยวข้องกับการแทรกแทรงทางการเมืองจากฝั่งรัสเซีย ที่ในช่วงนั้นเกิดดราม่าต่าง ๆ มากมายและทำให้ Trump กลายมาเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งได้ รวมถึงการเข้ามาสู่แผ่นดินสหรัฐของข่าวปลอมจากรัสเซีย (ที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ให้กับ Facebook อยู่เช่นกัน)
คนที่ใช้แอพของอาจารย์ท่านนั้นไม่ได้มีถึง 50 ล้านบัญชี (อยู่แค่หลักแสน) แต่ว่าอดีต API ของ Facebook เปิดให้ดึงข้อมูลเพื่อนได้ด้วย ดังนั้นบัญชีที่ได้รับผลกระทบจึงมีถึง 50 ล้านบัญชีเลยทีเดียว
ทาง Facebook ก็มาบอกว่า แม้ข้อมูลเหล่านี้จะได้มาจากความยินยอมของผู้ใช้ในตอนที่กดใช้งานแอพนั้น แต่การส่งต่อข้อมูลให้บริษัทอื่นหรือการซื้อขายข้อมูลเป็นเรื่องที่ผิดนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Facebook ซึ่ง Facebook ก็ขอให้ทาง Cambridge Analytic ลบข้อมูลดังกล่าวซึ่งก็เหมือนเรื่องจะจบ
แต่ล่าสุด Facebook ได้ออก ประกาศ ว่า Facebook ทราบมาว่า Cambridge Analytica ไม่ได้ทำลายข้อมูลตามที่ Facebook ร้องขอจึงทำการแบนบัญชีผู้ใช้งานของ Cambridge Analytica และบริษัทอื่น ๆ ในเครือ
แม้ว่าความฉาวจะเกิดขึ้นที่ Cambridge Analytica ว่าเป็นการทำงานที่ขัดต่อจริยธรรม และทำการแทรกแทรงทางการเมือง แต่ Facebook นั้นก็ตกเป็นจำเลยสังคมและถูกตั้งคำถามในด้านของความเป็นส่วนตัว และนโยบายที่ไม่รัดกุม ที่ทำให้ข้อมูลของผู้ใช้งานจำนวนมากหลุดออกมาและถูกใช้เป็นเครื่องมือของนักการเมืองที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อนโยบายของประเทศชาติ
ด้วยเหตุเช่นนี้ทำให้ Facebook หลังจากที่สังคมได้รับรู้ถึงเรื่องราวเหล่านี้ก็มีการตั้งแคมเปญ #DeleteFacebook หรือให้ทำการเลิกใช้งาน Facebook ซะ ผลกระทบก็คือจากที่ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาหุ้นของ Facebook พุ่งสูงสุด แต่หลังจากเหตุการณ์นี้ก็ตกลงมาถึง 7% นับว่าเป็นเหตุการณ์หุ้นตกในวันเดียวที่รุนแรงมากที่สุดที่ Facebook เคยเจอ
นอกจากในทางสังคมแล้ว ในทางกฏหมาย หลายหน่วยงานก็ตั้งคำถามต่อ Facebook และก็เรียก Facebook มาอธิบาบว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่ง FTC หรือ หน่วยงานที่ดูแลด้านการค้าของสหรัฐอเมริกาก็กำลังจะตรวจสอบ Facebook และหากว่า Facebook ผิดจริง ทาง Facebook จะต้องถูกปรับเป็นเงินหลายล้านเหรียญเลยทีเดียว
ไม้ใช่แค่สหรัฐอเมริกา แต่หน่วยงานจากหลายประเทศก็จับตามองการกระทำนี้ของ Facebook ตั้งแต่รัฐบาลอังกฤษเอง รวมถึงสหภาพยุโรป ซึ่งนับว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญต่อมุมมองของทางฝั่งรัฐบาลและประชาชนต่อ Facebook
แน่นอนว่าเหตุการณ์นี้ไม่จบลงง่าย ๆ แน่ Facebook ยังต้องมีอีกหลายขั้นตอนตั้งแต่การออกแถลงการณ์ที่ชัดเจนจนไปถึงการตอบคำถามและให้การแก่รัฐบาลประเทศต่าง ๆ ซึ่งก็คงต้องติดตามต่อไป รวมถึงตั้งคำถามกับตัวเองว่า Facebook จะแข็งแกร่งแค่ไหนและทานกระแสด้านลบนี้ต่อไปได้หรือไม่ ปัจจุบัน Facebook เป็น Social Network ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก หากกระแส Delete Facebook พุ่งขึ้นมาจริง ๆ ละก็ บรรดาแบรนด์ทั้งหลายอาจจะต้องหาทางอื่นก่อนที่ Facebook จะตกอันดับกลายเป็น Social Network ที่มีแต่ภาพด้านลบของการะเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้
อ้างอิง
Cambridge Analytica the Shady Data
Facebook’s Cambridge Analytica Crysis