โดย Aaron Sarma – Digital Ecosystem – Gentari
Nitchan Piromsawat – Climate Innovation Consultant –
“โลกกำลังอยู่ประสบปัญหาด้านธรรมชาติแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน”
เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาอุณหภูมิโลกเพิ่มถึง 1.2 องศา ซึ่งนับเป็นอุณหภูมิสูงสุดเมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม รวมถึงยังมีภัยทางพิบัติทางธรรมชาติ ทั้งควันไฟป่าในแคนาดา, เกิดปรากฏการณ์วงแหวนน้ำแข็งรอบ ๆ แอนตาร์กติกาที่ทุบสถิติเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า และคลื่นความร้อนในทวีปยุโรป เป็นต้น
“Decarbonization Is The New Digitization”
การลดคาร์บอนคือการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในองค์กรเพื่อสร้างคุณค่า โลกต้องกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนหลายกิกะตัน และการลดคาร์บอนต้องกลายเป็นสิ่งจำเป็นในภาคธุรกิจพื้นฐานทั้งหมด
“Climate Tech Will Be Everywhere”
Climate Tech คือ เทคโนโลยีที่ควบคุมหรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรมีทุกที่ทุกอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังควรมีเรื่องของ Green Financing หรือการจัดภาคส่วนที่ผลักดันเรื่อง Sustainability ขึ้นมาด้วย และทุกอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจาก Climate Change เพราะฉะนั้นทุกคนและทุกภาคส่วนควรมีส่วนร่วมในการช่วยกันผลักดันแก้ไข
“ใช้ Digital Transformation ยกระดับอุตสาหกรรมและควบคุมการปล่อยคาร์บอน”
- Digital Transformation คือการเก็บ Data และนำข้อมูลมาใช้ในการช่วยยกระดับอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ใช้ข้อมูลในการแทร็กการใช้งานพลังงานต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของอุตสาหกรรมมากขึ้น หรือ Tesla ที่เป็นบริษัทเทคฯ ไม่ใช่บริษัทยานยนต์ แต่ก็ใช้การเก็บ Data จากการใช้งานจริงมาพัฒนารถให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน
- บริษัทหรือหน่วยงามที่พยายามผลักดันเรื่องการตระหนักถึงภาวะโลกร้อนหรือภัยธรรมชาติอื่น ๆ ก็ควรทำให้เทคโนโลยีเข้าถึงชีวิตประจำวัน และมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น เพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์คน ทุกคนจะได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของ Digital Changing ส่วนในภาคบริษัทก็ควรจัดการกับเหล่าเครื่องมือและอุปกรณ์ในบริษัทมากขึ้น เพื่อหาทางประหยัดพลังงาน
- ในการสร้างพลังงานสะอาดให้หลากหลายและเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น นอกจากใช้เทคโนโลยีมาช่วยแล้ว ยังต้องอาศัยความเข้าใจของคนแต่ละประเทศทั่วทุกมุมโลก เนื่องจากเรื่องของผู้คนเป็นเรื่องที่ยากกว่าเทคโนโลยีตรงที่จะสื่อสารอย่างไรให้พวกเขาเข้าใจว่าบริษัทกำลังทำอะไรอยู่ และทำอย่างไรถึงจะผลักดันให้พวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงโลกได้