เป็นที่ทราบกันดีว่าช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาคอนเทนต์ในรูปแบบวิดีโอ กลายมาเป็นที่นิยมอย่างมาก ส่วนหนึ่งก็เริ่มมาจากการที่ Facebook หันมาให้ความสำคัญกับวิดีโอ จนกลายเป็นคู่แข่งของ Video Platform อื่น ๆ ได้อย่างง่าย ๆ และกลายมาเป็นเทรนที่ทั้งคนทำคอนเทนต์และบรรดาแบรนด์และเอเจนซีโฆษณาต่างต้องหันมาทำวิดีโอจนเกิดเป็น Trend ที่ชื่อว่า “Pivot to Video” หรือการย้ายไปทำวิดีโอ
แต่ด้วยรูปแบบการเล่นวิดีโอที่อาจจะแตกต่างจาก Platform อื่น ๆ เนื่องจาก Facebook นั้นมีลักษณะเป็น Timeline การเล่นวิดีโอต่าง ๆ จึงเป็นในลักษณะของ autoplay หรือการเล่นอัตโนมัติ สิ่งนี้คือสิ่งที่ทำให้ Facebook แตกต่างจาก YouTube เพราะในกรณีของ YouTube นั้นคนต้องกดเข้าไปดู (First Impression ของคอนเทนต์บน YouTube จึงเป็นรูปตัวอย่างและชื่อคลิป ในขณะที่ Facebook คือ 2-3 วินาทีแรกของวิดีโอ)
แต่ปัญหาก็คือ ก่อนหน้านี้ เราแทบจะไม่รู้เลยว่า Facebook นับจำนวนวิดีโออย่างไร ซึ่งก็ยังคงไม่มีความชัดเจนออกมาจาก Facebook เช่นกัน จนถึงปลายปี 2016 Facebook ได้ออกมาบอกว่าระบบการนับ View ของวิดีโอนั้นไม่ตรงกับความเป็นจริง ซึ่งก็สร้างความไม่พอใจพอสมควรในตอนนั้น แต่ดราม่าก็ยังคงก่ออย่างเงียบ ๆ แต่ล่าสุด Wall Street Journal ได้ออกบทความชื่อ Advertisers Allege Facebook Failed to Disclose Key Metric Error for More Than a Year บอกว่า Facebook นั้นทราบปัญหาเรื่องของการนับยอดการชมของวิดีโอ ซึ่งมีปัญหามาตั้งแต่ปี 2015 แล้ว และไม่ยอมบอกตั้งแต่ตอนนั้น ซึ่งก็ได้สร้างความไม่พึงพอใจให้กับบรรดาคนที่มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเฉพาะแบรนด์และเอเจนซีต่าง ๆ ที่ให้ความสำคัญกับ ROI หรือ Return of Investment ในการลงโฆษณาไปกับ Facebook
สามารถอ่านข่าวเดียวกันของ WSJ ได้จาก Wired
คำถามหลักเลยก็คือตอนนี้ทุกคนอาจจะไม่อยากรู้อีกแล้วว่า Facebook จะนับอะไรยังไง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ “เรายังเชื่อ Facebook ได้อีกไหม ?” , “มีอะไรที่ Facebook ยังไม่บอกเราอีก ?”
บรรดาเอเจนซีต่าง ๆ ก็ได้เริ่มต้นฟ้อง Facebook เรียบร้อย ว่าทำไมถึงไม่ยอมรับกันตรง ๆ ตั้งแต่แรก รวมถึงบรรดาคนดังต่าง ๆ ในวงการก็แสดงความคิดเห็นผ่าน Twitter โดยคุณ Jason Kint CEO ของ Digital Content Next ก็ได้โพสต์ Paper ที่บอกว่า Facebook เจอปัญหาแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นเวลากว่า 1 ปี ส่วนคุณ Barry Petchesky บรรณาธิการของ Deadspin ก็บอกว่า “Facebook should be in jail, obviously, but let’s not forget about all the smooth-brained media execs who bought into the pivot to video when literally every person who works on the ground in media, or even just uses the internet every day, knew it was complete bullshit.” ซึ่งก็ประมาณว่า Facebook ควรไปเข้าคุกซะ แล้วก็อย่าลืมพวกสื่อสมองนิ่มที่ถูกลากเข้ามาในแนวคิด “ย้ายไปวิดีโอ” ที่บรรดาคนทำงานหรือคนที่ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นประจำมองว่าแม่งโคตรไร้สาระ
ส่วนคุณ Chris Conroy จาก DC ก็ออกมาบอกว่า “90% of media orgs firing writers in favor of expensive video producers, who also got fired when it turned out video was worthless” คือกว่า 90% ของสื่อไล่นักเขียนออกเพื่อมาทุ่มกับวิดีโอ แต่ตอนนี้พวกทำวิดีโอก็กำลังจะถูกไล่ออกเช่นกันเพราะสุดท้ายวิดีโอก็เป็นแค่สื่อที่เสียเปล่า
สุดท้ายแล้วดูเหมือนว่าบรรดาคนที่ทำงานในแวดวงสื่อจะหัวร้อนกันเป็นอย่างมาก เนื่องจากมองว่า Facebook ทำแบบนี้ไม่ให้เกียรติอย่างรุนแรง และทำให้เม็ดเงินบางส่วนที่ทุ่มไปกับการทำวิดีโอต้องเสียเปล่า
สุดท้ายต้องรอดูว่า Facebook จะออกมาว่าอย่างไรต่อไป แต่ในตอนนี้ในต่างประเทศเริ่มจะเป็นดราม่าหนักพอสมควร บรรดาคนที่ทำคอนเทนต์แบบวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับ ROI อาจจะต้องพิจารณาดูอีกครั้งว่าสรุปแล้ว Metric การวัด Performance ของวิดีโอเป็นอย่างไรกันแน่และควรที่จะ “Pivot to Video” อยู่หรือเปล่า
เรียบเรียงโดย ทีมงาน RAiNMAKER