เจาะอินไซต์ 10 แบรนด์ดังจากจีน บุกตลาดไทยยังไงให้แมส!

ท่ามกลางกระแสของแบรนด์จีนที่คนไทยต่างตกเป็นกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ อยู่ตลอดเมื่อมีร้านใหม่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความอยากลอง หรือซื้อเพราะราคาถูกก็ตาม แต่แบรนด์ดังจากจีน หรือแบรนด์เชื้อสายจีนเหล่านั้น ความจริงแล้วมีเบื้องหลังกลยุทธ์ และการสร้างประสบการณ์แฝงไว้อยู่ เพื่อตีตลาดไทย และแซงหน้าสาขาหลาย ๆ ร้านในไทยที่อยู่ในตลาดเดียวกันได้ วันนี้ RAiNMaker มีอินไซต์จาก 10 แบรนด์ดังของจีนมารวมไว้ให้ที่นี่แล้ว!

จากกระแสจีนฟีเวอร์ในไทย ทำให้กลยุทธ์การตลาดในไทยถูกกระตุ้นมากขึ้น เพราะแบรนด์จีนเริ่มเข้ามาบุกตลาด และแสดงให้เห็นได้ชัดว่าไทยก็เป็นอีกหนึ่งจุดยุทธศาสตร์การค้าที่สำคัญด้วย โดยเฉพาะกระแสแฟรนไชส์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในตอนนี้

ซึ่งบางแบรนด์ก็ส่งตรงมาจากจีน บ้างก็ส่งต่อมาเป็นแฟรนไชส์เปิดในประเทศไทย หรือแบรนด์ที่มีสัญชาติจีนแต่มีซีอีโอคนไทยร่วมบริหารธุรกิจด้วย อย่างไรก็ตามแต่ละแบรนด์ก็มีจุดยืน และหาจุดต่างได้ชัดเจน จนสามารถทำให้โดดเด่นกว่าคู่แข่งในไทยได้

โดยเฉพาะ 10 แบรนด์ที่ RAiNMaker คัดสรรมาเพื่อเจาะอินไซต์กันวันนี้ ต่อให้จะขายสินค้าในตลาดเดียวกัน แต่กลับสร้างแบรนด์ดิง ให้สามารถครองใจของผู้บริโภคด้วย ‘Brand Positioning’ และประสบการณ์กับแบรนด์ต่างกันได้

MIXUE (มี่เสวี่ย)

  • เปิดในไทย: กันยายน 2565
  • สาขาแรกในไทย: รามคำแหง 53
  • บริษัท: มี่เสวี่ย (ประเทศไทย) จำกัด
  • เมนูยอดฮิต: ไอศกรีมนมโคนวาฟเฟิล และน้ำมะนาว
  • โลโก้ / มาสคอต: Snow King (ตุ๊กตาหิมะ)
  • ราคาเริ่มต้น: 15 บาท

“หิมะหวานเหมือนน้ำผึ้ง” หนึ่งในร้านชา และไอศกรีมนมสีแดงเอกลักษณ์สัญชาติจีนที่ทุกคนจะต้องรู้จัก หรือเคยเห็นตุ๊กตาสโนว์แมนหน้าร้านกันมาแล้ว พร้อมกับกลยุทธ์ตั้งเป้ากระจายสาขาในไทยกว่า 2,000 สาขา ด้วยเมนูที่เริ่มต้นราคาถูก เพราะเริ่มต้นเมนูไอศกรีมมีราคา 15 บาท และเมนูเครื่องดื่มเริ่มต้นที่ 20 บาทเท่านั้น

แต่ก็สามารถเป็นแบรนด์ติด Top 5 ที่สาขาเยอะที่สุดในโลกทรองจาก McDonald’s, Subway, Starbucks และมี KFC ตามมาติด ๆ ด้วยกลยุทธ์ที่ราคาเป็นมิตร เข้าถึงง่าย เลยทำให้ MIXUE ครองใจใครหลาย ๆ คนจนกลายเป็นลูกค้าประจำ

กลยุทธ์การตลาด

  • ราคาถูก จนอยู่เหนือกว่าคู่แข่ง

MIXUE เป็นแบรนด์ที่บริหารต้นทุน และซัพพลายได้ดี จนสามารถสร้างความนิยมในระยะเวลาน้อย แต่ติดใจคนได้พอ ๆ กับแบรนด์ดังที่แฟรนไชส์เยอะ เช่น McDonald’s, KFC และ Starbucks ในไทย

รวมถึง Brand Positioning ของ MIXUE ที่ไม่ได้มีแค่ไอศกรีม หรือน้ำมะนาว แต่ยังมีชานมไข่มุก และชาผลไม้ ทำให้เมนูชงสดราคาถูกเหล่านี้กลายเป็นตัวเลือกแทนแบรนด์ชงสำเร็จรูป หรือแข่งกับแบรดน์ชานมเจ้าอื่นได้สบายด้วย

  • โปรโมตไม่เยอะ แต่เน้นปริมาณจากแฟรนไชส์ 

MIXUE สามารถสร้างความนิยมในระยะเวลาน้อยได้ เพราะแม้จะมีการโปรโมตผ่านสื่อ หรือแคมเปญไม่เยอะเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น แต่เนื่องจากมีปริมาณร้านแฟรนไชส์ที่เยอะ เลยทำให้เกิดการพบเห็นบ่อย ผู้คนก็เลยเกิดความคุ้นเคยได้เร็วกว่าแบรนด์อื่น

  • มีแบรนด์ดิงให้คนจำได้

MIXUE มีกลยุทธ์การสร้างมาสคอตที่แข็งแรง ด้วยหน้าตาของมาสคอตที่เป็นตุ๊กตาหิมะ และสีขาวแดงที่เป็นเอกลักษณ์เลยทำให้จดจำได้ง่ายต่อการเห็นครั้งแรก และจำได้ในครั้งต่อไป รวมถึงมีเพลงประจำร้านที่ติดหูเป็นภาษาจีน และภาษาไทย เพื่อดึงดูดผู้คนที่เข้าร้านด้วย

Naixue (ไน่เสวี่ย | ไนซือ)

  • เปิดในไทย: ธันวาคม 2566
  • สาขาแรกในไทย: Emsphere สุขุมวิท
  • บริษัท: นายูกิ โฮลดิ้ง
  • เมนูยอดฮิต: ทาร์ตไข่สูตรฮ่องกง และชาอู่หลงจินกวนน้ำองุ่นครีมชีส
  • โลโก้ / มาสคอต: Naixue สีเขียว
  • ราคาเริ่มต้น: 65 บาท

แบรนด์ชาระดับไฮเอนด์ที่มาพร้อมกับวัตถุดิบเกรดพรีเมียมจากแดนมังกร เจ้าของสูตร “ชาชีสผลไม้ที่จริงใจ” สมมงขวัญใจชาวโซเชียลที่ไม่ได้มีแค่ชา แต่ยังยกระดับความแตกต่างให้จิบชาคู่กับเบเกอรี่เพิ่มความอร่อยด้วย โดยแบรนด์มีการปรับตัวการดื่ม และรสชาติของชาให้กลมกล่อม และชูรสชาติคู่กับเบเกอรี่สไตล์ยุโรปได้

ทำให้เป็นร้านชาผลไม้พรีเมียมที่ครองใจสายหวานมาตั้งแต่ปี 2015 ที่เปิดมาแล้วกว่า 1,400 แห่ง ด้วยไวบ์ร้านที่ให้ความอบอุ่นเข้าถึงง่าย เหมาะกับคนที่ต้องการมาพักใจจิบชา และเบเกอรี่โฮมเมดทั้งขนมปัง ครัวซองต์ และทาร์ตไข่คาราเมลสูตรฮ่องกงชื่อดัง

กลยุทธ์การตลาด

  • เสิร์ฟความโฮมเมดแบบพรีเมียม

Naixue ไม่ได้เป็นแค่แบรนด์ที่ขายชาผลไม้ และเบเกอรี่ แต่เป็นร้านที่ขายความโฮมเมดแบบพรีเมียม ด้วยการเลือกใช้วัตถุดิบที่สร้างประสบการณ์การกินที่ดีให้กับผู้คน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้ใบชา นมที่ใช้ผสมชา และผลไม้สดที่ใช้เป็นส่วนผสมของชา ซึ่งสาขาที่ CentralWorld ยังมีมุม ‘Tea testing’ กับมาสเตอร์แห่งการชงชาด้วย

  • สร้างไวบ์ความจริงใจ

ร้านที่ขายดีไม่ได้มีดีแค่โปรโมชัน หรือราคาเท่านั้น แต่บรรยากาศร้านที่พบเห็นก็สำคัญ อย่าง Naixue ที่ตั้งใจตกแต่งบรรยากาศร้านด้วยเฟอร์นิเจอร์ผสมผสานกับไม้ เพื่อให้ความรู้สึกอบอุ่น และเป็นกันเองเมื่อเข้ามาในร้าน ซึ่งการสร้างบรรยากาศส่งผลให้การกินอร่อยขึ้นไปด้วย

  • แมทช์เมนูด้วยความสร้างสรรค์

การสร้างเอกลักษณ์ให้กับเมนูของแบรนด์ชัดเจนก็ดี แต่การปรับตัว และออกเมนูใหม่ ๆ ให้ผู้คนตั้งตารอคอยนั้นเป็นเรื่องที่ดีกว่า เพราะ Naixue ถือเป็นแบรนด์สัญชาติจีน ที่โดดเด่นรสชาติแบบตะวันออก และมักจะออกเมนูเบเกอรี่ใหม่ ๆ ประจำซีซันต่าง ๆ มาให้กินคู่กับเมนูชาเสมอ จึงขายได้ดีทั้งกับผู้บริโภคที่ดื่มชาแบบวิถีดั้งเดิม และดื่มชาแบบสมัยใหม่ได้ไม่ยาก

TANING (ถาหนิง)

  • เปิดในไทย: กรกฎาคม 2565
  • สาขาแรกในไทย: เซ็นทรัลเวิลด์
  • บริษัท: ยาเน็ท เอเชีย พีทีอี จำกัด
  • เมนูยอดฮิต: ชามะนาวซิกเนเจอร์
  • โลโก้ / มาสคอต: กำปั้น
  • ราคาเริ่มต้น: 95 บาท

ร้านชามะนาวโลโก้กำปั้นสุดซิกเนเจอร์ เอาใจสายชอบเติมความสดชื่น ที่มียอดขายเมนูซิกเนเจอร์กว่า 800 ล้านแก้วต่อปีที่แดนมังกร ด้วยน้ำชามะนาวสไตล์เมืองกวางโจว มณฑลกวางตุ้งที่เปิดในจีนมากถึง 600 สาขาทั่วโลก กับรสชาติน้ำชามะนาวที่ไม่เหมือนเจ้าอื่น

เพราะมีเทคนิคการทำน้ำชามะนาวที่เข้มข้น และมีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน ด้วยวัตถุดิบใบชาคุณภาพ และมะนาวออร์แกนิกเก็บสดจากมือส่งตรงมาจากเกษตรกรชาวจีนหมู่บ้าน Wuyi Fenghuang บนภูเขา ในเมืองเฉาโจว เอาใจสายชาสุขภาพที่ต้องการเติมความเฟรช

กลยุทธ์การตลาด

  • ขายความออร์แกนิก

Taning นำเสนอถึงส่วนผสมที่มีความออร์แกนิกเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่า สิ่งที่ดื่มเข้าไปนั้นดีต่อร่างกาย เพราะเป็นมะนาว และใบชาที่ถูกคัดสรรมาแล้ว อย่างมะนาวหอมลูกโต (Perfume Lemon) จากหมู่บ้าน Wuyi Fenghuang บนภูเขา ในเมืองเฉาโจวที่มีวิธีเก็บสดด้วยมือเท่านั้น และต้องส่งมาถึงร้านภายใน 72 ชั่วโมงเพื่อคงความสด รวมถึงชาที่ทำต้องมาจากใบชา และไม่ใช้ผงชาด้วย

  • เน้นโชว์กรรมวิธี

ถึงจะเป็นร้านที่เน้นการสั่งแบบกลับบ้าน แต่กรรมวิธี และขั้นตอนในการคั้นน้ำมะนาวก็ไม่ลดจำนวนขั้นตอนลงเลย เพื่อให้ได้คุณภาพน้ำชามะนาวที่เท่ากันทุกแก้ว ไม่ว่าจะบีบ บด ขยี้หรือทุบมะนาวทั้ง 25 ครั้งแบบแก้วต่อแก้วเท่านั้น เพื่อทำให้รสชาติอร่อยเข้มข้นเหมือนเดิมทุกแก้ว

  • เสิร์ฟปริมาณคุ้มค่า

สำหรับร้านเครื่องดื่มแน่นอนว่ามีหลายไซซ์ให้เลือกเป็นปกติ แต่สำหรับ Taning นั้น มีไซซ์ใหญ่จุใจถึง 1 ลิตรในราคาเพียง 145 บาทเท่านั้น ซึ่งเมื่อเทียบกับคุณภาพ และการการันตีวัตถุดิบออร์แกนิกที่ใช้แล้วปริมาณความคุ้มค่านั้นทำให้ผู้บริโภคเต็มใจที่จะซื้อ

CHAGEE (ชาจี)

  • เปิดในไทย: ธันวาคม 2565
  • สาขาแรกในไทย: เซ็นทรัลเวิลด์
  • บริษัท: อีสบริดจ์ จำกัด และบริษัท ที เนชั่น จำกัด
  • เมนูยอดฮิต: ชานมมะลิ
  • โลโก้ / มาสคอต: องค์หญิงจีน
  • ราคาเริ่มต้น: 85 บาท

ร้านชาที่ตั้งใจนำประวัติศาสตร์ยูนนานในการดื่มชานับพันปี มารังสรรค์เป็นเมนูชาออร์แกนิกกว่า 30 เมนู โดยทีมมาสเตอร์เรื่องชา ผสมผสานกับวิถีชีวิตของผู้คนที่ทำให้ CHAGEE กลายเป็นชาที่ดื่มแล้วทำให้รู้สึกเข้าถึงวัฒนธรรมได้ ด้วยกลิ่นหอมของใบชาสดหลายประเภท และดีไซน์แฝงความตะวันออกอันเป็นเอกลักษณ์

และในยุคที่ผู้คนให้ความสำคัญ และใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น การที่จะดื่มอะไรเข้าไปก็ต้องได้รู้ถึงใบชา และสรรพคุณที่กิน ทาง CHAGEE ก็มีมาสเตอร์เรื่องชาที่เข้าใจในการสร้างสรรค์เมนู เพื่อปรับสมดุลให้กับชาแต่ละเมนูได้เป็นอย่างดี

กลยุทธ์การตลาด

  • ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพ

CHAGEE โดดเด่นเรื่องการคัดสรรใบชาสดจากไร่ชาออร์แกนิกที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อนำมาทำชาอย่างพิถีพิถัน แถมผลไม้ที่นำมาทำชาผลไม้ ยังคัดมาจากชุมชนต่าง ๆ ในประเทศไทยด้วย พร้อมตอบโจทย์คนรักชาที่ดีต่อสุขภาพกาย และสุขภาพใจให้ผ่อนคลาย พร้อมชาแต่ละชนิดที่จะให้กลิ่น และรสชาติเฉพาะตัวที่แตกต่างกันออกไป

  • สร้างภาพจำด้วยดีไซน์

การตกแต่งร้าน และดีไซน์แก้วของ CHAGEE มีการผสมผสานศิลปะแบบตะวันออกแบบ ‘Chinese Chic’ อยู่ ซึ่งบรรยากาศร้านให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในไร่ชาออร์แกนิก พร้อมกับได้มู้ดของ Tradittional tea ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นของใบชาที่นำเข้า 7 ชนิด พร้อมภาพจำที่แค่เห็นก็จำชื่อแบรนด์ได้

  • มีกิมมิกดึงดูดลูกค้า

นอกจากโปรโมชันตามช่วงโอกาสพิเศษแล้ว CHAGEE ยังมีกลยุทธ์ดึงดูดผู้บริโภคด้วยการจัดกิจกรรม หรือเปลี่ยนดีไซน์แก้วตามเทศกาล รวมถึงการสุ่ม Gift Voucher จากใต้แก้ว และคูปองส่วนลดเครื่องดื่ม เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างผู้บริโภคกับแบรนด์จนกลายเป็นไวรัล TikTok ด้วย

Molly Tea (โม่ลี่หน่ายป๋าย)

  • เปิดในไทย: กันยายน 2567
  • สาขาแรกในไทย: สยามสแควร์ ซอย 3
  • บริษัท: มอลลี่ ที (ประเทศไทย) จำกัด
  • เมนูยอดฮิต: ชานมมะลิพรีเมียม
  • โลโก้ / มาสคอต: ดอกมะลิ
  • ราคาเริ่มต้น: 110 บาท

ร้านชานมพรีเมียมต้นกำเนิดจากเมืองเซินเจิ้นที่เปิดไปแล้วกว่า 600 สาขาทั่วโลก พร้อมสีชมพูที่มีเอกลักษณ์ เสิร์ฟชาแบบดีไซน์สไตล์ตะวันออกแบบติดแกรม ที่ใครได้ถือแก้วก็เป็นต้องถ่ายลงโซเชียล โดย Molly Tea ยังใช้วัตถุดิบคุณภาพสูงในการทำให้ชาแตกต่างด้วยการโฟกัสที่การเป็นร้านชาดอกไม้ แบบไม่มีชาผลไม้ หรือท็อปปิงไข่มุก

กลยุทธ์การตลาด

  • ผสม Traditional และ Modern 

แม้จะเป็นร้านชาพรีเมียม แต่ Molly Tea ก็มีแนวคิดพื้นฐานในการรังสรรค์ชาแบบ Traditional ผสมผสานอยู่ด้วย อย่างใบชาที่ต้องส่งตรงมาจากภูเขา หรือการแต่งกลิ่นด้วยดอกมะลิสด และนมสดจากโคแท้ที่เลี้ยงในฟาร์มอย่างดี เพื่อให้ได้รสชาติกลมกล่อมเท่านั้น ตามมาด้วยดีไซน์ที่มีความโมเดิร์น และมินิมอลเอาใจสายติดแกรม

  • เชื่อมโยงคนรุ่นใหม่ และรุ่นเก่า

เมื่อเห็นแก้วสีชมพู ขาว และดำที่โดดเด่นก็สามารถสร้างภาพจำได้ทันทีว่าเป็นชาของ Molly Tea และสามารถดึงดูดให้คนรุ่นใหม่หันมาดื่มชาจีนแท้ ๆ ด้วยสูตร Traditional ได้ โดยไม่ได้จำกัดขอบเขตการเป็นชาจีนว่าต้องมีแต่รสชาติขม หรือสมุนไพรเท่านั้น

  • สร้างกิมมิกชาดอกไม้

Molly Tea พยายามสร้างจุดต่างให้กับแบรนด์ดิงของตัวเอง เพราะไม่ว่าร้านไหนก็จะมีชามะลิ แต่สำหรับแบรนด์นี้จะใช้ชา และการตั้งชื่อชาเพื่อให้รับรู้ถึงส่วนประกอบที่มีดอกไม้อยู่ในชาด้วย นับเป็นกิมมิกเล็ก ๆ ที่ทำให้ผู้บริโภคอยากลองมากขึ้น

JIAN CHA Tea (เจี้ยนชา)

  • เปิดในไทย: ธันวาคม 2566
  • สาขาแรกในไทย: ดิอัพ พระราม 3
  • บริษัท: เจี้ยนชา จำกัด
  • เมนูยอดฮิต: ชานมคามิเลีย และชาองุ่นสดครีมชีส
  • โลโก้ / มาสคอต: ภูเขา
  • ราคาเริ่มต้น: 80 บาท

ร้านชาจีนจากแบรนด์ไทยเชื้อสายจีน กับสูตรต้นตำรับของราชวงศ์เกรดพรีเมียมของจีน ที่มีการพัฒนาสูตรชาอย่างพิถีพิถันมาจากดอกคามิเลียที่เป็นต้นกำเนิดของการทำชาของจักรพรรดิ์เสินหนงของจีนค้นพบในการดื่มชา พร้อมใบชาที่คัดสรรแบบพรีเมียมกลายเป็นสูตรเฉพาะของร้าน

กลยุทธ์การตลาด

  • นำเสนอต้นตำรับของจีน

จากกษัตริย์กสิกรรมที่ต้มน้ำดื่มแต่มีดอกคามิเลียปลิวลงไป จึงเกิดเป็นสูตรชาดอกคามิเลียครั้งแรกตั้งแต่สมัยราชวงศ์ และเพราะความขลัง และประวัติศาสตร์เข้ามามีส่วนร่วมกับการสร้างแบรนด์ เรื่องราวเหล่านี้เลยดึงดูดผู้บริโภคให้อยากลิ้มลองมากขึ้น ด้วยกรรมวิธีต้มชาทุก 4 ชั่วโมง เพื่อความสดใหม่ในทุกแก้ว

  • ส่งเสริมอาชีพคนในประเทศ

เพราะ JIAN CHA มีคอนเซปต์ “Sip the most aromatic Tea of high Chinese dynasties.” แต่เบื้องหลังของชาชั้นสูงระดับราชวงศ์นี้มาจากเกษตรกรจีน และไทยที่ทำให้ได้ใบชา กับผลไม้สดส่งตรงมาจากฟาร์ม และการสนับสนุนเกษตรกรในพื้นที่ก็เป็นการเพิ่มรายได้ และการเติบโตในอาชีพของคนในประเทศด้วย

  • เชื่อมโยงวัฒนธรรมเก่าสู่ยุคใหม่

ความเชื่อแต่เดิมมองว่าคนยุคเก่าจะชอบดื่มชา แต่ในยุคนี้ที่ผู้คนให้ความสนใจเรื่องของชามากขึ้น ทำให้ JIAN CHA พยายามจะหาจุดเชื่อมให้ทุกคนหันมาดื่มชาคุณภาพดี เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง และการดูอ่อนเยาว์ ไปจนถึงต้านอนุมูลอิสระได้

Haidilao ( ไห่ตี่เหลา) 

  • เปิดในไทย: กันยายน 2562
  • สาขาแรกในไทย: เซ็นทรัลเวิล์ด
  • บริษัท: ไฮ้ ดิ เหลา พร็อพไพรเอทเทอร์รี่ (ไทยแลนด์) จำกัด
  • เมนูยอดฮิต: ฟองเต้าหู้ทอด
  • โลโก้ / มาสคอต: Hi (Haidilao)
  • ราคาเริ่มต้น: 80 บาท

ร้านหม่าล่าหม้อไฟจีนที่กระแสไม่เคยตก และคิวยาวที่ยาวแค่ไหนผู้บริโภคก็ไม่โกรธ ด้วยกลยุทธ์ที่โฟกัสเรื่องความประทับใจ และใส่ใจเรื่องของลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง เลยทำให้ Haidilao กลายเป็นหนึ่งในร้านที่นอกจากความอร่อยแล้ว บริการก็ประทับใจจนยิ้มกลับบ้านไปได้เลยทีเดียว

กลยุทธ์การตลาด

  • สร้างประสบการณ์รอคิว

การรอคิวเป็นปัญหาของร้านอาหารชื่อดังแทบทุกร้านที่ต้องมีการจัดการที่ดี แต่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับ Haidilao ที่สามารถหากิจกรรมมาให้ลูกค้าทำรอระหว่างรอคิวได้ ไม่ว่าจะเป็น น้ำ และไอศกรีมฟรี ไปจนถึงการทำเล็บเลยทีเดียว และเพราะร้านปิดดึกเลยทำให้ทุกคนพร้อมใจที่จะรอนาน ๆ ได้โดยไม่บ่นด้วย

  • บริการแบบรู้ทุกเรื่องของลูกค้า

นอกจากเรื่องคุณภาพของอาหารที่ Haidilao ให้ความสำคัญแล้ว ยังให้ความสำคัญกับการบริการ และได้รับความประทับใจจากลูกค้าอันดับหนึ่งด้วยความช่างสังเกตของพนักงานในร้าน ที่ไม่ว่าจะไปคอนเสิร์ตมา ลืมยางรัดผม หรือมีวันเกิดใคร ที่นี่ก็พร้อมจะเซอร์ไพรส์เสมอ แถมยุคนี้ยังนำรถมารอรับไปกินที่ร้านจากงานคอนเสิร์ตต่าง ๆ ด้วย

  • ฉลาดใช้เทคโนโลยี

Haidilao เป็นเจ้าแรกที่เริ่มการสั่งอาหารผ่าน iPad ที่สามารถเลือกน้ำซุป และตำแหน่งช่องใส่น้ำซุปได้ด้วย ทำให้โฟลว์การเข้าร้าน มาจนถึงนั่งโต๊ะสามารถสั่งอาหารได้แบบไม่สะดุดเพราะไม่ต้องรอพนักงานด้วย แถมในตอนนี้ยังมีการใช้หุ่นยนต์​ AI มาช่วยในระบบการจัดการด้วย

SHU DAXIA (สู่ต้าเสี่ย)

  • เปิดในไทย: พฤษภาคม 2566
  • สาขาแรกในไทย: CDC เลียบด่วนรามอินทรา
  • บริษัท: ฟอสโก้ จำกัด
  • เมนูยอดฮิต: วงแหวนมังกร
  • โลโก้ / มาสคอต: SHU DAXIA
  • ราคาเริ่มต้น: 68 บาท

ร้านหม่าล่าหม้อไฟหัวมังกรจอมยุทธ์เสฉวน จากเมืองเฉิงตูที่หลายคนยอมต่อคิวเพื่อให้ได้กิน ด้วยบรรยากาศสุดอลังเหมือนอยู่ที่โรงเตี๊ยมมณฑลเสฉวน และการแสดงโชว์ที่สร้างประสบการณ์ให้ผู้บริโภคได้หลุดไปอยู่ในประเทศจีน พร้อมวัตถุดิบพรีเมียมที่คัดสรรมาจกทั่วทุกมุมโลก ที่ใครก็อยากไปเยือนโดยไม่ต้องเสียค่า Service Charge หรือจะ VAT เพิ่มเลย

กลยุทธ์การตลาด

  • คอนเซปต์โรงเตี๊ยม และจอมยุทธ์

แม้จะเป็นร้านหม่าล่าหม้อไฟที่จะเน้นไปที่ความพิเศษของเมนูอย่างเดียวก็ได้ แต่การสร้างคอนเซปต์ และบรรยากาศที่ทำให้เหมือนหนังจีนจอมยุทธ์ และโรงเตี๊ยมมากขึ้น ทำให้ดึงดูดผู้บริโภคในการอยากไปเสพบรรยากาศเหล่านั้นด้วยตัวเองมากขึ้น เพราะ SHU DAXIA ทำให้เหล่า “ต้าเสียน (ลูกค้า)” รู้สึกเป็นคนพิเศษ

  • สร้างประสบการณ์กินแบบบันเทิง

SHU DAXIA นอกจากจะทำให้ร้านถูกใจคอหนังจีนแล้ว การสร้างประสบการณ์เหมือนทำให้อยู่ในประเทศจีนก็พิเศษไม่แพ้กัน เพราะตั้งแต่ทางเข้าด้านหน้าที่มีมังกรสีทอง และเวทีที่มีนักแสดงมาผลัดเปลี่ยนกันโชว์ทั้งเต้นรำ หรือเล่นเครื่องดนตรี ก็สร้างความเอ็กซ์คลูซีฟแบบ VIP ได้

  • เมนูพรีเมียมจากทั่วโลก

เพราะเป็นร้านหม่าล่าหม้อไฟสิ่งสำคัญก็คือวัตถุดิบในการนำไปจุ่มลงหม้อ ซึ่ง SHU DAXIA ก็คัดสรรวัตถุดิบพรีเมียมจากทั่วโลกมาให้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวากิว A4 จากญี่ปุ่น, หมูไอเมริโก, หมูดำในตำนานจากสเปน และเป๋าฮื้อระดับภัตตาคาร

CQK MALA Hot Pot (ซีคิวเค)

  • เปิดในไทย: 2559
  • สาขาแรกในไทย: ภูเก็ต (ป่าตอง)
  • บริษัท: ซีคิวเค กรุ๊ป จำกัด
  • เมนูยอดฮิต: หมูสไลด์ และไส้เป็ด
  • โลโก้ / มาสคอต: CQK Hot Pot
  • ราคาเริ่มต้น: 90 บาท

ร้านหม่าล่าหม้อไฟสไตล์ฉงชิ่งจากประเทศจีน โดยมีชื่อย่อ CQK มาจาก Ciqikou อ่านว่า ‘ฉือ ชี่ โขว่ (磁器口)’ ที่ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์ซ่งเมื่อหลายพันปีก่อน ด้วยเอกลักษณ์น้ำซุปอร่อยเข้มข้น และวัตถุดิบอาหารคุณภาพดีเกินราคา และไม่เคยหลุดกระแสหม่าล่าหม้อไฟของทาสรักหม่าล่า

กลยุทธ์การตลาด

  • สัญลักษณ์ของหม้อไฟจีนในไทย

เรื่องของรสชาติอาจจะเสมอกันกับหลาย ๆ เจ้า แต่ CQK ก็ถือเป็นอีกร้านหนึ่งที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของหม้อไฟจีนในไทยด้วย เพราะเป็นหนึ่งในตัวเลือกแรก ๆ ที่คนไทยเลือกจะไปกินหม่าล่าหม้อไฟกับครอบครัว ในบรรยากาศสไตล์จีนแท้ ต้นตำรับจากเมืองฉงชิ่ง

  • ส่วนลดบัตรสมาชิก

ส่วนใหญ่แล้วร้านที่เป็นหม้อไฟหม่าล่าแบบ a la carte จะมีราคาสูง แต่เพราะคุณภาพที่ต้องแลกมาก็ทำให้หลาย ๆ  นยอมจ่าย แต่ CQK ก็มีกลยุทธ์ให้สมัครบัตรสมาชิก ‘VIP Loyalty Card’ สุดคุ้มที่ได้รับส่วนลดค่าอาหารถึง 30% พร้อมใช้ได้ทันทีตั้งแต่ครั้งแรกกับทุกสาขา และไม่มีวันหมดอายุด้วย

  • คุณภาพดีเกินราคา

เมื่อเทียบราคาเมนูแต่ละอย่างที่ต้องสั่งมาลงหม้อแล้ว CQK มีราคาที่ค่อนข้างสมเหตุสมผล และไม่สูงเกินไปในระดับร้านที่อยู่ใน tier เดียวกัน ทำให้เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ผู้บริโภคประทับใจเรื่องคุณภาพ และราคาควบคู่กัน

Zhengxin Chicken Steak (เจิ้งซิน ชิกเก้น)

  • เปิดในไทย: กรกฎาคม 2567
  • สาขาแรกในไทย: ONE ConneX อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
  • บริษัท: Shanghai Zhengxin Food Group Co., Ltd
  • เมนูยอดฮิต: ปีกไก่เสียบไม้
  • โลโก้ / มาสคอต: ไก่ใส่มงกุฎ
  • ราคาเริ่มต้น: 15 บาท

เริ่มจากชื่อ Zhengxin Snack Bar มาสู่ Zhengxin Chicken Steak ร้านไก่ทอดแบรนด์ดังที่ขึ้นชื่อว่าเป็น “Chicken King” จากจีนที่มีมาตั้งแต่ปี 2000 และจำนวนสาขามากถึง 20,000 สาขาทั่วโลก พร้อมติด 100 แบรนด์อาหารชั้นนำของจีน และใช้กลยุทธ์ราคาถูก เน้นปริมาณสาขาให้กระจายแบบ MIXUE

กลยุทธ์การตลาด

  • รีแบรนด์เพื่อสร้างภาพจำ

เมื่อ Zhengxin Chicken Steak ได้พาร์ตเนอร์กับ Hua&Hua ในการพัฒนา และรีแบรนด์เพื่อให้ผู้บริโภคยุคใหม่เข้าถึงง่ายมากขึ้น การมีโลโก้เป็นไก่ใส่มงกุฎสีแดงที่ใช้ตกแต่งทั้งร้าน ตั้งแต่หน้าร้านยันในร้าน และแพ็กเกจจิงสินค้า เพื่อสร้างภาพจำ รวมถึงแสดงถึงการจะเป็นผู้นำในตลาดเดียวกันได้

  • ขายถูกเน้นขยายสาขา

เมื่อใช้โมเดลธุรกิจแบบเดียวกับ MIXUE เลยทำให้ Zhengxin Chicken Steak ขยายสาขาจำนวนมาก และเป็นที่รู้จักได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งเมนูอย่างไก่ และน้ำอัดลมต่าง ๆ มีราคาเริ่มต้นที่ 15 บาทเท่านั้น เลยทำให้ผู้คนซื้อครั้งละเยอะ ๆ ได้

  • ตีตลาดคู่แข่งฟาสต์ฟู้ด

แน่นอนว่าประเทศโดดเด่นเรื่องการหาร้านอาหารกินได้ทุกที่ เพราะมีทั้งร้านข้าวต้มปิดดึก และฟาสต์ฟู้ด แต่ Zhengxin Chicken Steak ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่จะสามารถมาแย่งส่วนแบ่งตลาดนี้ไปได้

จากการวิเคราะห์ทั้ง 10 แบรนด์ดังจากจีน จะเห็นได้ว่าแต่ละร้านจะมีการสร้างแบรนด์ดิงที่แข็งแรงเพื่อให้คนจำได้ ไปจนถึงการสร้างมู้ดโทนที่คลุมคอนเซปต์ตั้งแต่ชื่อ และบรรยากาศ กับเมนูที่มี แต่สิ่งสำคัญไม่ว่าจะราคาถูกเน้นขายมาก หรือราคาแพงเน้นคุณภาพ สิ่งสำคัญก็คือความคุ้มค่าที่ผู้บริโภคยอมจ่ายนั่นเอง

ซึ่งแบรนด์ที่ต้องการจะพัฒนาธุรกิจ หรือสร้างแบรนด์ดิงของตัวเองให้แข็งแรงขึ้น ก็สามารถนำ case study จากแบรนด์เหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ได้นะ

ที่มา: https://mixue.asia/#:~:text=While%20working%20at%20the%20kiosk,milk%20tea%20to%20the%20menu
https://www.thaifranchisecenter.com/infographics/show.php?id=1218
https://www.thaifranchisecenter.com/infographics/show.php?id=1468
https://capitalread.co/china-trends/
https://today.line.me/th/v2/article/NvggDz8
https://food.trueid.net/detail/OQVA43vX6xN5
https://www.wongnai.com/reviews/e88a3f118c6a485995e576d9e1e17dc7
https://www.marketingoops.com/news/biz-news/chagee/
https://mgronline.com/smes/detail/9650000122647
https://www.longtungirl.com/15062
https://everydaymarketing.co/business-and-marketing-case-study/
https://food.trueid.net/detail/QZdwbVEoEBXk
https://cqk-group.com/?page_id=6
https://everydaymarketing.co/knowledge/

Copyright © 2025 RAiNMaker. All rights reserved.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save