‘หอแต๋วแตก’ ใครที่ได้ยินชื่อหนังเรื่องนี้ก็คงจะรู้จักสไตล์หนังของผู้กำกับพชร์ อานนท์เป็นอย่างดี เพราะอยู่คู่กับคนไทยมานาน ซึ่งปีนี้เข้าสู่ภาคที่ 8 แล้วในชื่อ “หอแต๋วแตกแหกโควิดปังปุริเย่” แต่วันนี้ RAiNMaker ไม่ได้จะพามาขายขำ แต่อยากพามาแกะมุมมองการทำคอนเทนต์ ว่าทำไมหนังเรื่องนี้ยังเป็นที่จับตามองเสมอทุกครั้งที่มีภาคใหม่!
แม้หนังเรื่องนี้จะชัดเจนในเรื่องของอิสระการเล่าเรื่อง อย่างที่ผู้กำกับพชร์ อานนท์บอกว่า ‘หอแต๋วแตก’ ไม่ได้มีเส้นเรื่องที่ชัดเจนมาตั้งแต่แรก แต่ก็ยังมีหลายปัจจัยในการสร้างคอนเทนต์ให้เป็นไวรัลได้ทุกครั้ง
จนหลายคนเริ่มคอยดูทุกปีว่าหอแต๋วแตกจะเล่าอะไร หรือจะหยิบเทรนด์อะไรมาใส่ในหนังบ้าง ซึ่งความเป็นยำรวมมิตร และพงศาวดารไทยไปพร้อม ๆ กันนี่แหละที่ทำให้ความเป็น ‘หอแต๋วแตก’ เกิดภาพจำในการสร้างคอนเทนต์ที่ประสบความสำเร็จไม่แพ้หนังเรื่องอื่น ๆ เพราะงั้นมาดูกันดีกว่าว่าจะมีกลยุทธ์อะไรบ้างที่เหล่าคอนเทนต์ครีเอเตอร์สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้!
1.ใช้กระแสและเทรนด์เล่าเรื่อง
- จดหมายเหตุแห่งประเทศไทย
หนังเรื่องหอแต๋วแตกก็เหมือนศูนย์รวมเทรนด์ และกระแสต่าง ๆ ของโลก เพราะทุกเรื่องที่ว่าปังก็ถูกจับมาใส่ในเรื่องหมด ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์บ้านเมืองที่โควิดระบาด หรือประเด็นการเมืองก็มีนำมาใส่จนครบ เลยทำให้คนดูได้รีวิวชีวิตไปด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นในรอบหนึ่งปีนี้
- พจนานุกรมศัพท์สแลงไทย
ถ้าใครที่คิดว่าตัวเองเริ่มตามศัพท์แสลงไทยไม่ทัน หอแต๋วแตกก็แทบจะเป็นพจนานุกรมศัพท์วัยรุ่นให้เลยก็ว่าได้ เพราะคำที่ฮิตกันบนโลกโซเชียลถูกคัดมาเป็นบทสนทนาต๊าช ๆ ระวังพวกเจ้ ๆ ทั้งหลายในเรื่องหมดแล้ว
- ศูนย์รวมเทรนด์แฟชั่น
นอกจากกระแส และเทรนด์ที่ถูกหยิบมาเล่นนับไม่ถ้วน จำนวนชุดของนักแสดงในเรื่องนี้ก็นับไม่ได้เช่นกัน เพราะแทบจะเปลี่ยนชุดกันสนุกซีนต่อซีน จัดเต็มทั้งเสื้อผ้าหน้าผม เรียกได้ว่าอะไรเวอร์วังปังปุนั้นกลายเป็นภาพจำของหอแต๋วแตกไปแล้ว รวมถึงเทรนด์แฟชั่นที่ฮิตกันก็ไม่พลาดเก็บดีเทลมาใส่ในหนังด้วย
2. ต่อยอดกิมมิคของตัวเอง
ไม่ว่าแต่ละคนจะเปรียบเทียบการเล่าเรื่องของหอแต๋วแตกเป็นเมนูอะไร ทั้งยำรวมมิตร จับฉ่ายหรือแกงโฮะ แต่ความจริงแล้วการเล่าเรื่องที่ยำทั้งข่าว หนัง เพลง ละคร และซีรีส์นั้นมีมานานแล้ว อย่างที่หนังเรื่อง ‘Scary Movie’ และ ‘YouTube Rewind’ นำเทรนด์ฮิตของโลกมารวมกันในที่เดียว
แต่ที่สำคัญกว่าคือการรู้จักที่จะใช้เทรนด์เหล่านั้นให้เป็นประโยชน์ในการต่อยอดเรื่องราวให้กิมมิคของตัวเองยังคงอยู่ จนมีภาคใหม่ออกมาเรื่อย ๆ มากกว่า
3. สอดแทรก Easter Egg
เรื่องราวของหอแต๋วแตกจะสอดแทรกความ ‘เอ๊ะ’ เพื่อ ‘อ๋อ’ ของผู้ชมไว้ตลอด เพราะการดูเรื่องนี้ก็เหมือนกับการเช็คความจำของตัวเองต่อเหตุการณ์และกระแสต่าง ๆ ทั่วโลกไปด้วย บางคนดูแล้วก็เอ๊ะ แต่บางคนดูแล้วก็อ๋อ ความสนุกมันเลยอยู่ที่การได้ลุ้นว่าจะเจอซีนที่เรารู้ว่ามาจากเทรนด์นั้น ๆ ตอนไหน
4. เข้าใจกลุ่มเป้าหมาย
ใครที่มองหาความบันเทิงเบาสมอง หรือหนังที่ดูแล้วไม่ต้องใช้ความคิดวิเคราะห์ในการหาเหตุผลมาก หอแต๋วแตกก็ถือว่าตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายนั้นได้เป็นอย่างดี เพราะแม้จะไม่มีเส้นเรื่องที่ชัดเจนมาตั้งแต่แรก แต่การจับแต่ละเทรนด์มาเรียงกันเป็นหนังเรื่องหนึ่งได้ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย สิ่งที่คนดูจะได้จากหนังเรื่องนี้ก็แค่ปล่อยให้หนังมันพาไปเท่านั้นเอง
5. สร้างภาพจำใหม่ให้อินฟลู
หอแต๋วแตกทุกภาคนอกจากจะมากับเทรนด์ใหม่ ๆ แล้ว ก็ยังมาพร้อมกับอินฟลูคนใหม่ ๆ เช่นกัน โดยเหล่าอินฟลูทั้งรับเชิญ หรือเป็นตัวละครหลักต่างก็ได้รับบทบาทใหม่ที่ต่างไปจากคาแรคเตอร์เดิม ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างภาพจำใหม่ ๆ ให้ผู้ชมได้เห็นด้วย
ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ RAiNMaker ก็หวังว่ากรณีศึกษาการสร้างคอนเทนต์ให้สนุก และมีอิสระในการหยิบเทรนด์มาเล่าเรื่องในรูปแบบต่าง ๆ ของหนังเรื่อง ‘หอแต๋วแตก’ จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้
ถึงแม้กระแสของหนังจะมีทั้งดี และไม่ดีปะปนกันไป แต่เราแค่อยากจะเผยแพร่ในแง่มุมมองการทำคอนเทนต์ที่น่าสนใจเท่านั้น และเชื่อว่าอีก 10 ปี หากมีโอกาสได้ย้อนกลับมาดูหนังแฟรนไชส์หอแต๋วแตกอีกก็คงจะทำให้ระลึกถึงความหลังแน่นอนว่าประเทศไทยหรือโลกของเราผ่านอะไรมาบ้าง