ในยุคที่ Creator Economy กำลังเติบโต และกลายเป็นอุตสาหกรรมใหม่มาแรงแห่งยุค ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าใคร ๆ ก็เป็นครีเอเตอร์ได้ และผู้บริโภคก็มีความเชื่อในครีเอเตอร์มากกว่าแบรนด์ด้วย เช่นเดียวกับ Influencer Marketing ที่เริ่มขยายไปสู่อุตสาหกรรมมากขึ้น RAiNMaker เลยจะมาแชร์ให้อ่านกันว่า เทรนด์ชาวเหล่าอินฟลูแต่ละแพลตฟอร์มจะเป็นยังไงในปี 2024!
ไม่ว่าคุณจะเป็นครีเอเตอร์ หรืออินฟลูเอนเซอร์ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เป็นบทบาทที่เปรียบเสมือนนักครีเอทีฟ และนักสร้างสรรค์ทั้งคู่ ซึ่งต่างกันที่สุดก็คงจะเป็นเรื่องของการทำงานกับแบรนด์ เพราะอินฟลูเอนเซอร์จะโฟกัสไปกับงานที่ได้จากแบรนด์เป็นหลักมากกว่า
แต่สำหรับครีเอเตอร์เมื่อมีช่องของตัวเองแล้ว ก็สามารถทำอะไรกับคอนเทนต์ หรือสิ่งที่อยากทำได้ เว้นแค่มีสปอนเซอร์เข้าก็อาจมีพลิกแพลงให้เข้ากับความเป็นตัวเองบ้าง แต่ก็มีบางคนที่เรียกบทบาทของตัวเองได้ทั้งครีเอเตอร์ และอินฟลูเอนเซอร์เช่นกัน ซึ่งอุตสาหกรรมนี้ในปี 2024 จะเติบโตไปทางไหน และแพลตฟอร์มไหนบ้างที่ดีต่อโลกอินฟลูเอนเซอร์ มาเช็กกัน!
เทรนด์ Influencer Marketing 2024
หากเทียบ 10 ปีก่อนการเป็นครีเอเตอร์ก็เขียนบล็อก สร้างเว็บ หรือบน Facebook และย่อยคอนเทนต์ลง Twitter หรือโพสต์ลง Instagram แต่ในตอนนี้เทรนด์คอนเทนต์มันไปไกลมากว่านั้น แม้จะอยู่ในหมวดหมู่เดิม แต่ก็แตกย่อยออกเป็น Niche Market มากขึ้น
ซึ่งแน่นอนว่าในปีหน้าก็น่าจะมีแพลตฟอร์มใหม่ ๆ หรือวิธีการสร้างรายได้ใหม่ ๆ เกิดขึ้นอีก อย่างที่ TikTok เปลี่ยนให้ทุกแพลตฟอร์มต้องมีฟังก์ชันสร้างวิดีโอสั้นเป็นของตัวเอง ซึ่งเทรนด์ในปีหน้าก็พอจะทำให้มองภาพรวมออก ไม่ว่าจะเป็น
AI-Generated Content
ปีหน้าคอนเทนต์ และความครีเอทีฟที่มีตัวช่วยอย่าง Generative AI จะมีมากขึ้น โดยเฉพาะ AI-Generated Content ที่จะมีบทบาทมากขึ้น อย่างที่เราเห็นว่าความสามารถของ AI นั้นไปไกล และเริ่มพัฒนาให้มีความมืออาชีพมากขึ้นตลอด
ทั้งเขียนสคริปต์ หรือเจนภาพ และส้รางสตอรีบอร์ดพร้อม Mock-up คลิปก็ทำได้ ซึ่งก็คงเป็นอีกตัวช่วยหนึ่งให้เหล่าอินฟลูเอนเซอร์ได้ประหยัดเวลา และใช้เวลาไปกับอะไรที่จำเป็นมากขึ้น แต่อย่างแรกที่ต้องมีก่อน ก็คือการรู้จักเครื่องมือ AI ให้มากที่สุด และทดลองใช้จนเจอเครื่องมือที่เหมาะกับตัวเอง
YouTube Investment
วิดีโอสั้นอย่าง TikTok มาแรงก็จริง แต่วิดีโอยาวแบบ YouTube ก็ยังไม่ได้หายไปไหน และยังคงเป็นตัวเลือกที่เปิดไว้ดูตอนกินข้าว หรือฟังเสียงระหว่างขับรถของทุกคนในชีวิตประจำวันอยู่ ซึ่งในปีหน้าสนาม YouTube จะเดือด และมีการลงทุนมากขึ้น
ใครที่คิดว่าการทำวิดีโอสั้นนั้นยากเกินไป ส่วนใหญ่ก็จะมาเริ่มที่ YouTube แทน เพื่ออยากบอกเล่าอะไรที่ยาวกว่านี้ ทำให้ YouTube เป็นอีกแพลตฟอร์มหนึ่งที่น่าจับตามองไม่น้อยสำหรับตลาดอินฟลูเอนเซอร์
TikTok
ไม่ว่าจะปีที่แล้ว ปีนี้ หรือปีต่อไป TikTok ก็กลายเป็นแพลตฟอร์มที่มีอิทธิพลต่อหลาย ๆ อุตสาหกรรมมากขึ้น และแบรนด์ก็เริ่มหันมาเปิดช่อง TikTok ของตัวเองกันแล้ว ทำให้ปีนี้ที่ว่าแข่งขันกันดุเดือดอยู่แล้ว ปีหน้าก็จะเดือดขึ้นไปอีก
แม้หมวดหมู่คอนเทนต์ที่อยากทำจะดูเป็น Red Ocean และมีเกลื่อนไปหมด แต่ปฏิเสะไม่ได้เลยว่าความสม่ำเสมอ และคาแรกเตอร์ที่ต้องสร้าง เป็นสิ่งที่ต้องมีบน TikTok จริง ๆ
Affiliate Marketing
การป้ายยาเริ่มแมสมากขึ้นในทุกวันนี้ เพราะไม่ว่าใครก็ทำได้ และสร้างรายได้จากการทำ Affiliate Marketing ได้มากขึ้น แต่! ในปีหน้าจะไม่ได้มีแค่แปะลิงก์เพราะผู้บริโภคเริ่มรู้ทัน ซึ่งต้องศึกษากลุ่มเป้าหมายของเราให้ดีกว่าว่าชอบขายแบบโต้ง ๆ หรือขายแบบมีเรื่องราวให้น่าซื้อก่อนค่อยกดซื้อ
นอกจากนี้การทำ Affiliate ก็ทำให้ติด SEO ถ้ารู้จักระบบการทำมากพอ รวมถึงราคา สินค้า และคุณสมบัติก็ควรขายให้ตรงใจกับกลุ่มเป้าหมายจริง ๆ ด้วย ซึ่งหากคอยหาสินค้าใหม่ ๆ ตามเทรนด์ตลอด แค่ทำ Affiliate Marketing ก็สามารถสร้างคอมมูนิตี้ได้นะ
ประเภทคอนเทนต์ของ Influencer Marketing
- 76% User-generated content (UGC)
- 66% Gifting/seeding
- 60% Affiliate marketing
- 60% Sponsor Digital Ads feat. creators
ในโลกของโฆษณายุคเดิม (Traditional Ads) การแข่งขันเพื่อดึงดูดความสนใจไม่ได้มีมากเท่าในยุคนี้ เพราะแค่ขายสินค้า โปรยคุณสมบัติของสินค้าที่น่าสนใจก็จบ แต่โลกที่มีทั้งโซเชียล ครีเอเตอร์ และอินฟลูเอนเซอร์มาผนวกด้วย ก็ยิ่งทำให้ยอด Impressions และ Reach ที่ต้องแข่งกันพุ่งไปอีก
ซึ่งประเภทคอนเทนต์ของ Influencer Marketing ส่วนใหญ่ก็มักจะมาจาก User-Generated Content เยอะที่สุด เพราะใคร ๆ ก็เป็นอินฟลูเอนเซอร์ และรีวิวของได้ รองลงมาก็คือการมีให้ของขวัญ หรือไอเท็มต่าง ๆ ไปจนถึงการทำ Affiliate Marketing จากการแปะลิงก์ และมีสปอนเซอร์มาคอลแลปให้ทำโฆษณาด้วย
คอนเทนต์ที่สร้างอิมแพคที่สุด
- #1 Sponsor Digital Ads feat. Creators
- #2 Affiliate Marketing
- #3 UGC on Owned media
หลังจากส่องประเภทของคอนเทนต์ Influencer Marketing ไป แน่นอนว่าก็ต้องมีจัดอันดับคอนเทนต์ที่สร้างอิมแพคต่อผู้บริโภคมากที่สุด ซึ่งอันดับหนึ่งก็คือการมีสปอนเซอร์มาคอลแลป อาจจะเพราะมีสินค้าเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ก็การบูสต์โพสต์ที่ทำให้เห็นผลได้
ตามมาด้วย Affiliate Marketing ที่เน้นการสร้าง Conversion ผ่าน Affiliate Links และได้ค่าตอบแทนมาเป็นค่า Commission ซึ่งไม่ต้องมีต้นทุนสูงมากก็ทำได้
และอันดับสุดท้ายอย่าง UGC Content ที่สร้างคอนเทนต์ในช่องทางของตัวเอง ในแบบของตัวเองอย่างที่ใครหลาย ๆ คนทำ ก็ทำให้เห็นตัวตน และสไตล์ช่องชัดว่าจะมีคอนเทนต์แบบไหน พอสร้างภาพจำได้ระยะหนึ่ง ผู้บริโภคก็จะรู้แล้วว่าอยากรู้เรื่องนี้ ต้องไปหาดูคอนเทนต์ที่ช่องไหนนั่นเอง
Top #3 Marketing Metric ใช้วัดคอนเทนต์อินฟลู
- #1 Conversion
หรือยอดขาย (Sales) หรือยอดซื้อสินค้า (Purchase) ที่ทำได้จริง ซึ่งการวัดจะมี Conversion Rate ช่วยวัดการทำโฆษณาได้ และกลุ่มคนที่สำคัญที่เป็นกลุ่มเป้าหมายจริง ๆ เท่านั้น โดยสามารถเพิ่ม Conversion Rate ได้จากการกระทำอื่น ๆ ได้ด้วย
เช่น วัดจากยอดคนสมัครสมาชิก ยอดคนลงทะเบียน ยอดเข้าเข้าชม ยอดการดาวน์โหลด หรือจำนวนข้อความที่ติดต่อเข้ามา เป็นต้น
- #2 Impressions
คือ ยอดที่คำนวณมาจากจำนวนการแสดงคอนเทนต์ หรือโพสต์ต่าง ๆ ที่จะนับจำนวนการเข้าชม หรือดูซ้ำด้วย ซึ่งจะมาจากทั้งจำนวนคนเห็นคอนเทนต์หน้าฟีดด้วยตัวเอง กลุ่มเป้าหมายที่ถูกกำหนดให้เห็น หรือจำนวนคนที่เห็นคอนเทนต์เพราะเพื่อนตอบสนองผ่านหน้าฟีดก็ได้
- #3 ROAS (Return-on-Ads)
หรือเรียกว่า ผลตอบแทนจากการจ่ายค่าโฆษณา ที่ใช้เป็นตัววัดประสิทธิภาพของโฆษณาโดยตรง ซึ่งใช้วัดจากรายได้เทียบกับรายจ่ายโฆษณา
ปัจจัยการเลือกอินฟลูเอนเซอร์เป็นพาร์ตเนอร์
- 37% Campaign fit
- 32% Engagement Rate
การที่แบรนด์จะเลือกอินฟลูเอนเซอร์มาเป็นพาร์ตเนอร์ หรือสร้างแคมเปญ และโฆษณาร่วมกัน มักจะคำนึงถึงความเหมาะสมของช่อง และคาแรกเตอร์ของอินฟลูเอนเซอร์ก่อน ตามมาด้วยยอดเอ็นเกจเมนต์ที่จะได้รับจากการทำงานร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์คนนั้น ๆ
ปัจจัยการเลือกแบรนด์เป็นพาร์ตเนอร์
- 56% Product Quality
- 26% Compensation
- 12% Brand Values
การที่อินฟลูเอนเซอร์จะเลือกทำงานกับแบรนด์นั้น ๆ เพื่อคอลแลปกันก็มักจะคำนึงเรื่องคุณภาพของสินค้าก่อน เพราะต้องเป็นสินค้าที่ขาย และพูดคุณสมบัติออกไป ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครอยากจะโกหก หรือสร้างคอนเทนต์ที่ไม่โปร่งใสกับผู้บริโภค
ตามมาด้วยค่าตอบแทนที่เหมาะสม และคุ้มค่ากับค่าแรง รวมถึงทุนที่ต้องเสียไปในการถ่ายทำ หรือสร้างโฆษณาชิ้นหนึ่งเพื่อลงโปรโมตในช่องของตัวเอง
ตามมาด้วยคุณค่าของแบรนด์ ซึ่งมักจะพิจารณาก่อนว่าแบรนด์นั้น ๆ สร้าางคุณค่า หรือมีภาพจำกับผู้บริโภคอย่างไร เพราะหากไปคอลแลปด้วยก็ต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ที่จะตามมาในอนาคตเป็นธรรมดา
อันดับแพลตฟอร์มสร้างคอนเทนต์ยอดนิยม
- 94% Instagram
- 62% TikTok
- 53% Meta (Facebook)
- 38% YouTube
- 26% Blog/Website
- 21% Twitter
แม้ฝั่งคอนเทนต์กลุ่มคอนเทนต์ครีเอเตอร์จะเป็นปีของ TikTok แต่สำหรับนักการตลาด อินฟลูเอนเซอร์ และแบรนด์แล้ว Instagram กลับมีอิทธิพลมากกว่า และฟังก์ชันในการขายที่หลากหลายกว่า เพราะมีทั้งโพสต์รูป และวิดีโอ ไปจนถึงสตอรี และ Reels ไว้สร้างเอ็นเกจเมนต์กับคนรุ่นใหม่สายไลฟ์สไตล์ได้มากกว่า แถมคุมโทนแอคเคานท์ของตัวเองให้น่าจดจำได้ด้วย
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ Instagram จะกลายเป็นแพลตฟอร์มที่นักการตลาด และแบรนด์เลือกใช้ถึง 94% ตามมาด้วย TikTok อีก 62% ที่กำลังไล่เลี่ยตามมาติด ๆ และ Facebook ที่ยังคงรักษาตำแหน่งแพลตฟอร์มยุคโซเชียลมีเดียสมัยบุกเบิกได้อยู่
อันดับแพลตฟอร์มที่ ROI ดี (Industry Leader)
- 46% Instagram
- 23% TikTok
- 23% YouTube
- 8% X (Twitter)
ROI คือ Return on Investment ที่มีการวัดผลตอบแทนจากการลงทุน และประเมินความคุ้มค่าเพื่อวางแผนในอนาคตได้ ซึ่งแพลตฟอร์มที่ดูจะได้รับค่าตอบแทนได้ดีที่สุดก็เป็น Instagram ที่คุ้มค่ากับค่าตอบแทนมากที่สุดภึง 46% และ TikTok กับ YouTube อีก 23% ปิดท้ายด้วย X ที่ 8%
ซึ่งสังเกตได้ว่า 3 อันดับแรกของแพลตฟอร์มที่ให้ ROI ดีนั้นล้วนเป็นแพลตฟอร์มที่มีเครื่องมือ และฟังก์ชันวิดีโอเด่น ทั้ง Instagram ที่มี Instagram Reels และ TikTok ที่โตได้ด้วยการเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นอยู่แล้ว และ YouTube ที่มีทั้งวิดีสั้น และวิดีโอยาว เรียกได้ว่าอยากเพิ่มค่าตอบแทนจากการลงทุนต้องลองสร้างคอนเทนต์วิดีโอกันแล้ว
ฟีเจอร์ยอดนิยมบน Instagram
- 59% Reels
- 19% Stories
- 11% Static Polls
- 10% Collab Post
- <1% Live
จากที่เห็นว่า Instagram กลายมาเป็นแพลตฟอร์มที่ปังด้านการทำยอดขาย และให้ ROI ที่คุ้มที่สุด อันดับแรกก็เป็นผลมาจากคลิปวิดีโอบน Instagram Reels ตามมาด้วยสตอรี และโพลที่ให้โหวตเพิ่มยอดเอ็นเกจเมนต์กับกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย ๆ นั่นเอง
ประเภทคอนเทนต์ของอินฟลูเอนเซอร์
- Lifestyle
- Fashion
- Cosmetic
- Skincare
- Travel
- Haircut
- Fitness, Health & Wellness
- Food & Drink
- Art, Entertainment & Media
ปัจจัยที่ทำให้แบรนด์ได้รับเอ็นเกจเมนต์
- 91% ของขวัญจากแบรนด์
- 82% ส่วนลด หรือลิงก์ Affiliate
- 56% สินค้าที่มีการคอลแลป
โดยสรุปแล้วภาพรวมวงการ Influencer Marketing ก็ต้องยกให้ Instagram ไปจริง ๆ เพราะเป็นแพลตฟอร์มที่เน้นไลฟ์สไตล์ ง่ายต่อการเข้าถึงคน Gen Z และสร้างยอดขายให้ ROI ที่คุ้มค่าได้ โดยมี TikTok ตามมาติด ๆ ซึ่งจะเน้นไปทางครีเอทีฟ และความสม่ำเสมอในการทำคลิปมากกว่า แต่ Instagram ไม่ต้องทำคลิปทุกวันก็สามารถลงโพสต์ปกติได้ เรียกได้ว่าเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อไม่น้อยเลยทีเดียว