Instagram แชร์ทิปส์การทำ Reels บนหน้า Professional Dashboard บนแอป พร้อมลิสต์ Key Point สำคัญในการช่วยเพิม Performance ของ Reels ให้ดีขึ้น ซึ่งบางข้อทางแพลตฟอร์มเองก็ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน
Key Point ในการทำ Reels ให้ปัง
- ดึงความสนใจคนดูภายใน 3 วินาทีแรก เพื่อกระตุ้นให้คนอยากดูคลิปต่อ
- ความยาว Reels ที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 30-60 วินาที สำหรับ Reels ที่มีความยาว 90 วินาที อาจส่งผลต่อ Performance
- ใช้แฮชแท็กที่เกี่ยวข้อง และกำลังเป็นเทรนด์เข้ามาช่วยทำให้คอนเทนต์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างมากขึ้น แต่ในกรณีนี้แฮชแท็กจพไม่ได้ช่วยเพิ่มยอด Reach ให้กับวิดีโอ
- ทำคอนเทนต์ตามเทรนด์ และใช้แผ่นเสียงที่กำลังเป็นกระแส
- สร้างคอนเทนต์ที่กระตุ้นให้เกิดเอนเกจเมนต์โดยตรง โดยเฉพาะการแชร์ต่อ ไม่ว่าจะผ่านหน้าฟีด หรือ DM
- ตอบคอมเมนต์ภายใน 7 วัน เพราะการไลก์ หรือการคอมเมนต์บน Reels จะช่วยสร้างเอนเกจเมนต์ที่มากขึ้นได้ รวมถึงช่วยเพิ่มยอด Reach ให้วิดีโอได้อีกด้วย
- โพสต์คอนเทนต์ Reels บนแพลตฟอร์มอื่น ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ และดันให้คอนเทนต์เป็นที่รู้จักมากขึ้น
- ทำคอนเทนต์ที่คนสามารถมีความรู้สึกร่วม หรือคอนเทนต์ตลก
- อัปโหลดคลิปแบบ High Resolution เนื่องจากคนดูส่วนมากจะเอนเกจกับวิดีโอที่มีคุณภาพดี
- โพสต์ Reels 10 คลิปต่อเดือนเป็นประจำ หรืออาจจะมากกว่านั้นก็ได้ เพื่อคงความสม่ำเสมอให้กลุ่มเป้าหมายยังคงเห็นคอนเทนต์ของเราบนหน้าฟีด
นอกเหนือจากลิสต์ข้างต้นแล้ว อีกหนึ่งสิ่งสำคัญในการทำวิดีโอ Reels คงหนีไม่พ้นความคิดสร้างสรรค์ที่ใส่เข้าไปในคอนเทนต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยดึงคนให้สนใจ แชร์ต่อ จนอาจทำให้วิดีโอไวรัลได้
DON’T! ห้ามทำสิ่งนี้ ถ้าไม่อยากให้ Reels แป้ก
- โพสต์วิดีโอ Reels ที่ติด Watermark ของแพลตฟอร์มอื่น เพราะจะทำให้ยอด Reach บน Instagram ถูกลด
- ทำ Reels ที่ส่อไปในทาง Clickbait เนื่องจากแพลตฟอร์มโฟกัสที่การทำคอนเทนต์ที่คำนึงถึงความ Authenticity หากทำคอนเทนต์เพื่อเรียกยอดก็อาจทำให้ Instagram ลดยอด Reach คอนเทนต์ได้
- รีโพสต์คอนเทนต์ที่มีบน Instagram อยู่แล้ว หรืออ้างเครดิตคอนเทนต์ของคนอื่น หากระบบตรวจเจอจะส่งผลเสียต่อยอด Reach แน่นอน
หากใครต้องการศึกษา Instagram Tips เพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูได้บน Professional Dashboard สำหรับผู้ใช้แอคเคานต์ Business และ Creator เท่านั้น รวมถึงเรื่องกฎของแพลตฟอร์ม ที่ผู้ใช้สามารถเข้าไปศึกษาได้ผ่าน Community Guidelines เพื่อป้องกันการละเมิดกฎในการทำคอนเทนต์
ที่มา: SocialMediaToday