เชื่อว่าคนที่ดูแลเว็บไซต์หรือมี Blog ส่วนตัว ทุกคนต้องอยากทราบข้อมูลเกี่ยวกับการทำ SEO เพื่อให้เว็บตัวเองมีโอกาสติดอยู่ในอันดับต้นๆ ด้วย keyword ที่ต้องการ และก็คงจะดีถ้าข้อมูลนี้มาจากทีมงานของ Google เอง
ในงาน WordCamp Bangkok 2019 ที่ผ่านมานี้ ทางทีมงานได้มีโอกาสเข้าฟังบรรยายของคุณ Sireetorn Prommawin (เชอร์รี่) Search Quality Analyst ของ Google Asia Pacific เป็นหัวข้อเกี่ยวกับพื้นฐานการทำให้คอนเทนต์บนเว็บของเรามีโอกาสติดอยู่ในดันดับต้นๆ ของผลการค้นหา ลองมาดูกันครับ
รู้จักกับขั้นตอนการทำงานของ Google Search
Crawling (เก็บรวบรวม)
เริ่มจาก Google ส่ง Bot กระจายออกไปเก็บข้อมูลเว็บไซต์ทั่วโลกและรวบรวมเก็บไว้ตามเวลาที่กำหนด ซึ่งหมายความว่าข้อมูลของเว็บไซต์เราบน Google ไม่ได้อัปเดตแบบ realtime แต่ก็มีช่วงเวลาการอัปเดตอย่างเหมาะสมของแต่ละเว็บไซต์ หรือเจ้าของเว็บเองก็สามารถกำหนดตรงนี้ได้ผ่าน Google Search Console
Indexing (จัดทำดัชนี)
หลังจากที่ Bot เก็บรวบรวมข้อมูลเว็บไซต์จากทั่วโลกมา Google จะนำมาคิดว่าหน้าเว็บไหนบ้างที่ควรเข้ามาอยู่ในระบบ โดย Google ไม่ได้ดูเพียง keyword ในหน้านั้นๆ เท่านั้น แต่ยังมีอัลกอริทึมที่ซับซ้อนลงไปอีก
สิ่งที่น่าสนใจคือปัจจุบัน Google ไม่ได้อ่านแค่ HTML เท่านั้น แต่มีการ render หน้าเว็บจริงขึ้นมาเพื่อที่จะให้ script ต่างๆ แสดงผลให้ครบถ้วนจากนั้นจึงเก็บข้อมูล ซึ่งทำให้ Google ได้ข้อมูลของเว็บที่ถูกต้องมากๆ
และไม่ใช่ทุก URL ของเว็บที่จะถูกจัดเก็บ แต่จะมีปัจจัยหลายอย่างในการคัดเลือก เช่น ถ้ามี 2 หน้าที่มีข้อมูลเหมือนกันเป๊ะ Google อาจจะเลือกมาเพียงหน้าเดียว
Ranking (จัดอันดับ)
ขั้นตอนสุดท้ายคือการนำสิ่งที่รวบรวมมาจัดอันดับการแสดงผล ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ซับซ้อนมากที่สุด การจัดอันดับทำแบบ realtime โดยที่ข้อมูล 15% ที่ผู้ใช้ค้นหา เป็นข้อมูลที่ไม่เคยเจอมาก่อนบนหน้า Google
ซึ่งจะใช้หลายปัจจัยมาคิดว่าผู้ใช้ต้องการผลลัพธ์อย่างไร เช่นถ้าคุณค้นหาคำว่า “ข้าวเหนียวไก่ย่าง” ระบบจะคิดด้วยว่าตอนนี้คุณค้นหาจากที่บ้านหรือขับรถอยู่ แล้วเลือกให้ว่าการแสดงผลควรจะเป็นสูตรการทำหรือข้อมูลของร้านอาหารดี
เกร็ดเล็กน้อย : ในทุกหนึ่งวินาที มีผู้ใช้ค้นหาจาก Google 40,000 ครั้ง
อย่าลืมปรับปรุงการแสดงผลบน Google
การที่เว็บไซต์แสดงผลอยู่บน Google แล้ว เรายังต้องมาพิจารณาสิ่งที่เห็นและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ลองค้นหาเว็บของตัวเองแล้วดูสิ่งที่แสดงผลทั้ง title และ description ในส่วนนี้เป็นสิ่งที่ผู้ค้นหาเห็นเป็นอันดับแรกและคิดอย่างรวดเร็วว่าจะคลิกหรือเลื่อนผ่านไป
ใครที่ใช้ WordPress อยู่แล้วก็สามารถเปลี่ยนได้ไม่ยากในส่วนของ title และ meta tag description
หรือถ้าใครต้องการให้แสดงผลมากกว่าแค่ title และ description เช่น แสดงภาพ, rating รูปดาว ให้ลองดูที่ : แสดงบทความบน Google ให้น่าสนใจ สะดุดตา ด้วย Rich Snippet
การสร้างเว็บไซต์โดยมีจุดมุ่งหมาย
- แสดงให้ชัดเจนว่าเว็บไซต์ทำอะไร เพื่อให้ Search Engine เข้าใจได้ง่ายที่สุด
- เลิกใช้ URL ที่เป็น genaric เช่น ถ้าขายรถ อย่าใช้ URL ที่เป็น bestcar.com แนะนำให้ใช้เป็นชื่อเช่น nokkaewcar.com เพราะไม่ได้ช่วยในเรื่องของ branding และผู้ใช้ค้นหาเจอได้ยากถ้า search ชื่อแบรนด์
- คนทำเว็บควรโฟกัสที่ผู้ใช้มากกว่า Search Engine ควรใส่ใจผู้ใช้ เข้าใจกลุ่มเป้าหมาย และเข้าใจว่าเค้าจะมาค้นหาอะไรเป็นอันดับต้นๆ จากนั้นสร้างคอนเทนต์หรือบริการเพื่อเสิร์ฟผู้ใช้ของเราให้ดี
นำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยนช์มากที่สุด
Google เองพยายามสนับสนุนให้ผู้ดูแลเว็บไซต์ใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีต่างๆ ที่เกี่ยวกับเว็บไซต์ เพื่อที่จะทำให้เว็บไซต์แสดงศักยภาพได้สูงสุด และทำให้ Google ทำงานได้ง่ายขึ้น
Search Console
เครื่องมือที่ใช้ดูข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับ SEO ของเว็บไซต์ (ชื่อเดิมคือ Webmaster Tools) เช่น เว็บของเราแสดงผลบน Google ไปกี่ครั้ง, มีคนคลิกเท่าไร, สัดส่วนคนที่คลิกเทียบกับคนที่เห็นเป็นเท่าไร หรือผู้ใช้ที่มาเจอเว็บเค้าใช้ keyword อะไร
รวมไปถึงข้อมูลที่ Bot ของ Google มาเก็บบนเว็บไซต์เรา ทั้งข้อมูลทั่วไปและสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเว็บไซต์ เช่น ถ้าไปเจอหน้า 404 หรือ error message ต่างๆ ก็สามารถทราบได้ (หน้า error ที่ผู้ใช้มาเจอจะมีผลกับ ranking)
Mobile Friendly
ทุกวันนี้ผู้ใช้มีเวลากับการอ่านน้อยลง เราจำเป็นต้องทำให้เว็บไซต์เราสามารถเปิดได้ในทุกอุปกรณ์ ซึ่งในเรื่องนี้เราคุยกันมาหลายปีจนเป็นเรื่องธรรมดาในการทำเว็บไซต์ไปแล้ว ซึ่ง Google เห็นความสำคัญในส่วนนี้มาก
อัปเดตล่าสุดเมื่อช่วงกลางปี 2018 ที่ผ่านมา Google นำความเร็วในการเข้าเว็บไซต์ด้วยโทรศัพท์มาใช้ในการจัด ranking ด้วย ซึ่งหมายความว่า ถ้าเว็บของคุณเข้าผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ได้เร็ว ก็มีโอกาสที่จะอยู่ในอันดับต้นๆ ของหน้าแรก
สามารถนำเว็บไซต์ของตัวเองไปเช็คในเครื่องมือของ Google ได้ : Lighthouse วัดประสิทธิภาพ SEO บนเว็บไซต์ ด้วยเครื่องมือของ Google
Stay Safe from Hacking
จากข้อมูลของ Google แจ้งว่าภูมิภาคของเรามีสัดส่วนของเว็บไซต์ที่ถูก hack จำนวนมาก ซึ่งนอกจากจะส่งผลในเรื่องของ branding แล้ว ยังทำให้ ranking ตก หรืออาจจะไม่พบเว็บบน Google เลยก็เป็นได้ สิ่งที่ต้องระวังมีดังนี้
- พยายามใช้ password ที่เดายาก อย่าใช้ชุดเดียวกันในหลาย account
- เลือกใช้ theme และ plugin ที่มีการอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ และอัปเดตเวอร์ชั่น WordPress ด้วย
- คอมพิวเตอร์ส่วนตัวที่ใช้ก็มีผล พยายามทำให้ปลอดภัยอยู่เสมอ
- Search Console จะแจ้งเตือน ถ้า Google ไปพบว่าเว็บไซต์คุณไม่ปลอดภัย
สุดท้ายแล้ว ถึงแม้ว่าอัลกอริธึมการจัดอันดับจะเปลี่ยนไปตามยุคสมัยอย่างไร Google เองก็ยังคงยืนยันสิ่งเดิมที่ทำมาตั้งแต่แรกนั่นคือการสนับสนุน Quality Content
ดังนั้นผมจึงพยายามบอกทุกคนมาเสมอว่าคอนเทนต์ที่ Google ชอบคือคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและคิดถึงประโยชน์ของผู้ใช้มาเป็นอันดับแรก ถึงแม้ว่าเราจะต้องคอยติดตามการเปลี่ยนแปลงจาก Google แต่อย่างไรแล้วก็ต้องทำคอนเทนต์โดยยืดถึงสิ่งนี้เป็นอันดับแรก เพราะ Google ก็ทำแบบนี้เช่นกัน