เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา Perplexity บริษัทสตาร์ตอัปด้าน AI ได้ประกาศแผนเข้าซื้อ TikTok ในสหรัฐฯ ผ่านบล็อกของบริษัท พร้อมระบุว่าจะสร้างอัลกอริทึมใหม่ให้โปร่งใส และตั้งใจจะเปิดอัลกอริทึมทั้งหมดเป็น Open-source เพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาด
แต่ดูเหมือน ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok จะไม่ต้องการขายกิจการในสหรัฐฯ ง่าย ๆ ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนให้กับผู้ใช้เป็นอย่างมาก โดยก่อนหน้านี้ศาลสูงสหรัฐฯ ได้ตัดสินว่าสามารถแบน TikTok ได้ ทำให้แพลตฟอร์มปิดตัวไปกว่า 14 ชั่วโมง ก่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์จะลงนามในคำสั่งขยายเวลาการแบนออกไป 75 วันหลังจากขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งการขยายเวลาจะหมดเขตในวันที่ 5 เม.ย. นี้
โดยก่อนหน้านี้ Perplexity เคยเสนอซื้อ TikTok ตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่ต้องแข่งกับยักษ์ใหญ่หลายราย เช่น Oracle, Microsoft และกลุ่มนักลงทุนที่นำโดย Frank McCourt ซึ่งมูลค่ากิจการของ TikTok ถูกประเมินไว้ที่ 30,000 – 50,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ Bloomberg รายงานว่า Perplexity กำลังอยู่ในช่วงระดมทุนรอบใหม่ซึ่งอาจทำให้บริษัทมีมูลค่าถึง 18,000 ล้านดอลลาร์เลยทีเดียว
แต่หลายคนได้ตั้งข้อสงสัยว่า Perplexity อาจต้องการทำการตลาดผ่านการสร้างกระแสว่าจะซื้อ TikTok เหมือนกับที่ผ่านมา เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยล้อเลียนข้อผิดพลาดของ Google AI โดยใช้อีจองแจ นักแสดงจาก Squid Game รวมถึงยังเคยเสนอเป็นสปอนเซอร์ทีมแข่ง F1 มูลค่า 5 ล้านดอลลาร์ต่อปี และอ้างว่าได้จ้าง Jimmy O. Yang ดาราจาก Silicon Valley เป็น Chief Security Officer อีกด้วย จึงเป็นที่น่าสงสัยว่าการประกาศซื้อ TikTok ครั้งนี้เป็นเพียงการสร้างกระแสหรือไม่
อย่างไรก็ตาม หาก Perplexity ได้เข้าซื้อ TikTok ได้จริง บริษัทได้ชี้แจงถึงเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงอัลกอริทึมและโครงสร้างมากมาย อาทิเช่น
- สร้างอัลกอริทึมแนะนำคอนเทนต์ขึ้นใหม่ โดยใช้ศูนย์ข้อมูลและการกำกับดูแลของอเมริกา
- ทำระบบการแนะนำคอนเทนต์ให้โปร่งใส และเป็น Open-source
- อัปเกรดโครงสร้าง AI ด้วยเทคโนโลยี Nvidia Dynamo
- เพิ่มระบบอ้างอิงแหล่งที่มาในวิดีโอ คล้ายกับฟีเจอร์ของ Perplexity
- ผสานระบบค้นหาของ Perplexity กับคลังวิดีโอของ TikTok
- ปรับแต่งคอนเทนต์แบบ Personalization ให้เหมาะกับผู้ใช้มากขึ้น ในกรณีที่ผู้ใช้เชื่อมบัญชี TikTok กับ Perplexity
- รองรับการแปลหลายภาษา เพื่อขยายขอบเขตของแพลตฟอร์ม
ส่วนเรื่องนี้จะจริงหรือเค้กก็คงต้องรอติดตามกันต่อไป
ที่มา: The Verge