ในช่วงที่ TikTok กำลังจะโดนแบนในอเมริกา หลังร่างกฎหมายใหม่ที่สั่งแบนเพราะ TikTok ไม่ยอมแยกออกจากบริษัทแม่จากจีนอย่าง ByteDance แต่กลับเป็นอีกแหล่งสำคัญที่ทำให้คอนเทนต์ประเภทพอดแคสต์ถูกค้นพบมากขึ้น
เพระาในปัจจุบันวิดีโอบน TikTok มักจะกลายเป็นคีย์หลักในการเจอคอนเทนต์อะไรใหม่ ๆ ซึ่งคอนเทนต์พอดแคสต์ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ถูกค้นพบเยอะ และสร้างความหวังให้กับครีเอเตอร์สายพอดแคสต์ว่าจะมีคนค้นพบคลิป และตกกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนเจนใหม่มาเป็นผู้ฟังในช่องได้มากขึ้น
แต่ความจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้น เพราะคอนเทนต์พอดแคสต์บน TikTok ที่เห็นทุกวันนี้ เป็นตัวดึงดูดให้ฟังพอดแคสต์ช่องนั้น ๆ มากขึ้น หรือรู้จักพอดแคสต์เพราะ TikTok ก็จริง แต่กลับไม่ได้ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมอย่างที่ควรจะเป็น และยอดดาวน์โหลดก็ยากที่จะวัดได้ว่ามาจากโพสต์บน TikTok เท่านั้น
ซึ่งจากตัวอย่างนักสร้างพอดแคสต์ในปัจจุบันของอเมริกาก็พยายามปรับตัวให้เข้ากับ TikTok มากขึ้น นับตั้งแต่ไม่ได้ทำพอดแคสต์ลง X แล้ว แต่ในฐานะบริษัทก็ไม่ได้คิดจะวางใจไปกับแพลตฟอร์มไหนมากเป็นพิเศษ เพราะทุกแพลตฟอร์มล้วนมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเสมอ
อย่างอัลกอริธึมของ TikTok ที่ยอดเอ็นเกจเมนต์ในการฟังจากคลิปมักจะดี แต่ด้วยเครื่องมือที่แทรกกิงได้ กลับพบว่ามีน้อยผู้ชมจำนวนน้อยมากที่จะออกจากแอปแล้วไปฟังพอดแคสต์จริง ๆ ที่ช่องหลักของพวกเขา และสิ่งที่ทำได้ก็แค่แชร์คอนเทนต์พอดแคสต์ลงโซเชียลมีเดียไปเรื่อย ๆ เท่านั้น อย่างที่ธรรมชาติของแพลตฟอร์มต่าง ๆ ก็ไม่ต้องการให้ผู้คนต้องออกจากแอปไปดูคอนเทนต์ที่อื่นด้วย
แต่นักพอดแคสต์ก็ยังมองว่า การลงคอนเทนต์บน TikTok อย่างน้อยก็เพิ่มยอดเอ็นเกจเมนต์ได้มากกว่าช่องหลัก และการที่ได้ยอดวิวหลักหมื่นก็ย่อมดีกว่าหลักเดียวในหนึ่งวันอยู่แล้ว และบางครั้งโพสต์หนึ่งก็มียอดวิวมากกว่าล้านครั้ง ต่อยอดการดาวน์โหลด 2,000 ครั้งต่อสัปดาห์ก็ตาม
หรือต่อให้ TikTok อาจจะไม่ได้ขยายฐานผู้ชมให้ใหญ่ขึ้น แต่ก็ยังสามารถตกผู้ชมกลุ่มใหม่ ๆ ให้ได้เสมอ ซึ่งก็ยังเป็นส่วนสำคัญที่เลี้ยงให้ช่องพอดแคสต์นั้นยังคงอยู่ได้จนทุกวันนี้ด้วย