‘Gap Generation’ เป็นปัญหาที่สังคมไทยที่คนยุคเก่า และคนยุคใหม่เดินไปคนละทิศ และเข้าใจกันคนละทาง ทั้งความเชื่อ ความคิด และค่านิยม ทำให้ช่องว่างแปรเปลี่ยนเป็นความไม่เข้าใจ และต้องใช้เวลาในการเชื่อมรอยต่อนั้น ซึ่งก็มีแบรนด์ไทยเร่ิมสื่อสารเรื่องนี้ ให้กลายเป็นเรื่องธรรมดา ที่ทุกคนสามารถเข้าใจกันได้ไม่ว่าจะต่างกันแค่ไหน
วันนี้ RAiNMaker เลยอยากมาแนะนำโฆษณาจากเหล่าแบรดน์ไทยที่อยากจะสื่อสารว่าทุกวัยมีเรื่องราว และชีวิตที่แตกต่างกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเข้าใจกันไม่ได้
ซึ่งทั้ง 5 แบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์, ไก่ย่างห้าดาว, ยาอมแก้ไอตราตะขาบ 5 ตัว, มิสทีน และ Robinson ก็มีการนำเสนอความต่างเจนหลายแง่มุม แต่พวกเขาจะมีกลยุทธ์อะไรบ้าง มาดูไปด้วยกันเลย!
มนุษย์ในอีก 10 ปีข้างหน้า จะเป็นแบบไหน?
Brand: กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์
Key: เพราะมนุษย์ทุกคนต่างมีความเชื่อที่แตกต่างกัน
ในยุคที่ความหลากหลายเริ่มมีมากขึ้นในโลก ทั้งเรื่องเพศ อายุ เชื้อชาติ สีผิว แต่กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์สื่อสารทำให้เราเข้าใจว่ายุคต่อ ๆ ไป จะไม่มีการแบ่งแยกเจน หรืออะไรเลย แต่ทุกคนจะกลับไปสู่จุดเริ่มต้น แบบที่ไม่มีเชื้อชาติ ภาษา หรือดินแดน แต่ทุกคนจะแตกต่าง และมีอิสระในการเป็นตัวเอง
ซึ่งเทคนิคการเล่าเรื่องด้วยการตั้งคำถามกับบรรทัดฐานของคนในสังคม รวมถึงแชร์อินไซต์ด้วยข้อมูล สถิติตัวเลข และประเด็นแตกต่างเหมือนกันพร้อมบทพูดที่ตรง และย่อยง่าย
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะทำให้โฆษณานี้เป็นไวรัลไปทั่วในโลกโซเชียล รวมถึงการเลือกพรีเซนต์เตอร์อย่าง ‘พีพี กฤษฏ์’ ที่เป็น Symbolic ของการยอมรับจากคนทั่วโลก ก็นับว่าเหมาะสมกับประเด็นนี้อย่างมาก ผนวกกับการตบด้วยขายโปรดัก “บัตรที่เป็นของคุณเพียงคนเดียว” สอดแทรกมากับประเด็นด้วย
ไม่รักจริงไม่ทำแบบนี้!
Brand: Robinson
Key: เอาไปลดในสิ่งที่รัก
แม้พล็อตของโฆษณาจะเป็นเพียงเรื่องราวของวัยรุ่นหญิงที่ชอบตีกลองแต่ไม่มีกลอง เพราะแม่เอาคูปองลดราคาไปซื้อในสิ่งที่ตัวเองรัก ซึ่งแม้จะไม่ใช่กลอง แต่เป็นเครื่องดูดฝุ่น เพราะเห็นฝุ่นตอนลูกตีกลอง แต่ก็เป็นอินไซต์ต่างเจนที่ใครหลาย ๆ คนเคยเจอ และเข้าใจแน่นอน
การเล่าเรื่องก็ง่าย และขายเข้าประเด็นสุด ๆ เพราะ Robinson ตั้งใจจะขาย สติกเกอร์ส่วนลดสูงสุด 90% แต่ก้พ่วงมาด้วยความสัมพันธ์ต่างเจนที่มีการหักมุมนิด ๆ ด้วย ซึ่งเทคนิคการเล่าคอมเมดี้ครอบครัวแบบนี้แหละ เป็นอาหารอันโอชะของคนไทยเลย
โฆษณาจากทุกเจน
Brand: ไก่ย่างห้าดาว
Key: ต่างเจน เห็นต่างกัน ไม่เป็นไร
แค่มี “ห้าดาว” อย่างหนึ่งที่ชอบเหมือนกัน…เราก็ชื่นใจละ
โดยปกติแล้วโฆษณาที่อยากจะสื่อสาร มักจะนำเสนอประเด็นในสังคมนั้น ๆ ออกมาเป็นการเล่าเรื่อง แต่ไก่ย่างห้าดาวนำเสนออกมามากกว่านั้น เพราะนอกจากจะ Voxpop ความคิดเห็นจากคนต่างเจนแล้ว ยังมีการถ่ายทำโฆษณาจากคอมเมนต์ของคนในโพสต์โซเชียลมีเดียจริง ๆ ด้วย
ซึ่งไม่ว่าคุณจะเป็น Gen Baby Boomer, Gen X, Gen, Y Gen Z หรือ Gen Alpha ที่ช่วยออกความเห็นเรื่องโฆษณา แต่ไก่ย่างห้าดาวก็สามารถนำความคิดเห็นที่ต่างกันยุคกันเหล่านั้นมารวมอยู่ในโฆษณาเดียวกันได้อย่างลงตัว
เพราะคนเราคิดไม่เหมือนกันเป็นเรื่องปกติ และจะรวมให้ทุกเรื่องเป็นเรื่องเดียวกันแล้วให้ทุกคนชอบมันยากมาก “แต่ไม่ใช่ว่า มันจะเป็นไปไม่ได้” เพราะอย่างน้อยก็มีไก่ย่างห้าดาวที่ทุกคนชอบเหมือนกัน
THE GRAND MASTER
Brand: ยาอมแก้ไอตราตะขาบ 5 ตัว
Key: ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ยาอมแก้ไอตราตะขาบ 5 ตัว
จะเป็นสิ่งแรกที่หนูนึกถึงเวลาเจ็บคอ
ยาอมแก้ไอตราตะขาบ 5 ตัวนั้น ฟังจากชื่อแบรนด์แล้วหลาย ๆ คนก็คงรู้ดีว่าอยู่มาตั้งแต่สมัยรุ่นไหน แต่โฆษณาที่เขานำเสนอถึงช่องว่างความต่างเจนกันนั้น กลับทำให้คนทุกเจนเข้าใจง่ายกว่าที่คิด ว่าทำไมเจ็บคอ หรือมีอาการไอ ต้องกินยาอมแบรนด์นี้
เริ่มเรื่องมาด้วยพ่อแนะนำยาอมตราตะขาบ 5 ตัวให้กับลูกสาว พร้อม Role Play เป็นยาอม กล่องเสียง เสมหะ และเชื้อโรค ที่ใส่ส่วนผสมความตลกหน้าตาย และมุกแบบไทย ๆ เอาไว้ด้วย แถมแคสติ้งก็เรียลมากจนใคร ๆ ก็ต้องดูจนจบ
ส่วน Paon Point ที่อมแล้วลิ้นดำก็ถูกนำมาเสนอเช่นกัน แต่สุดท้ายก็เคลียร์ข้อสงสัยให้ด้วยว่าลิ้นดำแปบเดียวก็จางได้ และไม่ได้มีรสขมอย่างเดียวตามคนรุ่นใหม่คิด ทั้งเทคนิคการเล่าเรื่อง และช่วงขายของที่ชวนทำความเข้าใจแบรนด์ก็เลยได้ใจคนทุกเจนไปเลยเต็ม ๆ
#ขอโทษนะที่ชื่อมิสทิน
Brand: มิสทีน
Key: เราต่างหากค่ะที่ต้องขอโทษ ที่ชื่อเราทำให้คุณรู้สึกเชย
มิสทีนนับว่าเป็นแบรนด์เครื่องสำอางที่อยู่คู่กับผู้หญิงไทยมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่วัยมัธยมจนทำงาน ซึ่งก็ยังมีคนบางกลุ่มใช่อยู่ แต่มักจะถูกมองว่าเป็นแบรนด์ที่เชย และล้าหลังเพราะมากับแคตตาล็อกยุคก่อน
ซึ่งแบรนด์อย่างมิสทีนรู้ Pain Point ตรงนี้ของตัวเองดี เลยเกิดไวรัล ‘#ขอโทษนะที่ชื่อมิสทีน’ ขึ้นมา เพื่อขโทษผู้ใช้ทุกคนที่ทำให้คิดว่าใช้มิสทีนแล้วจะเชย พร้อมตบท้ายด้วยการชี้แจงว่ามีการรีแบรนด์ใหม่ และอยากให้ทุกคนมั่นใจ พร้อมกลับมาใช้มิสทีนอีกครั้ง เพราะ ‘มิสทีน’ ชื่อนี้ไม่ได้แปลว่าใช้แล้วแก่อีกต่อไป