นับว่าปีนี้เป็นปีของ Taylor Swift จริง ๆ เพราะตั้งแต่ The Eras Tour ที่ประสบความสำเร็จกลายเป็น Phenomenal Year ทั่วโลก แถมยังได้รับตำแหน่ง Person of the Year 2023 ของนิตยสาร TIME ด้วย เรียกได้ว่าไม่ต้องมีบริษัทใหญ่ ๆ เป็นของตัวเอง หรือมีส่วนในการบริหารธนาคารกลาง เธอก็ขึ้นแท่น “Business Leader” แห่งปี แผ่ขยายอิทธิพล พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจได้
ซึ่งแม้เธอจะไม่ได้เผยตัวเลขรายได้ของการแสดง The Eras Tour อย่างเป็นทางการ แต่อิทธิพลของเธอน่าจะแผ่ขยายไปจนถึงปี 2024 ด้วยตัวเลขที่พุ่งทะลุ 10 หลัก และ 60 รายการทัวร์แรกของเธอก็ทำรายได้ไปแล้วกว่า 1 พันล้านดอลลาร์
รวมถึงแรงดึงดูดของแฟน ๆ ที่ทั้งเป็น และไม่เป็นเหล่าสวิฟตี้ก็มีมากจนประมูลราคาตั๋วในตลาดขายต่อยอดเฉลี่ยอยู่ที่ 1,607 ดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 741% จากการทัวร์ของเธอ ซึ่งขายตั๋วเฉลี่ยอยู่ที่ 191 ดอลลาร์เท่านั้น เพราะ The Eras Tour เปรียบเสมือนลูกบอลที่ผ่านไปยังเมืองใหญ่ ๆ ต่าง ๆ ในอเมริกา และจะเริ่มไปยังเอเชียในปีหน้า แฟน ๆ ก็พร้อมยอมจ่ายเพื่อให้ได้ไปดูการแสดง 44 เพลง 9 ยุค 3 ชั่วโมง 15 นาทีของเธอด้วย
รวมถึงทั้งเพลงที่ได้ฟัง เนื้อเพลงที่เขียน และสร้อยข้อมือ Friendship Bracelet ที่เหล่าสวิฟตี้สร้างงานคราฟต์แลกให้กันและกัน ก็เป็นอีกสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความนิยมที่สร้างปรากฏการณ์อันน่าทึ่งของเธอได้เป็นอย่างดี การันตีพร้อมคะแนน 100% บน Rotten Tomatoes อีกด้วย
แต่ที่น่าสนใจกว่าก็คือความเฉียบแหลมทางธุรกิจของ Taylor Swift ที่ใช้ประโยชน์จากความกระตือรือร้นของแฟน ๆ ในการเพิ่มยอดขาย และนับเป็นกรณีศึกษาที่ดีที่สามารถทำความเข้าใจแฟน ๆ และมอบสิ่งที่พวกเขาต้องการได้ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อสเวตเตอร์ หมวก โปสเตอร์ และสินค้าอื่น ๆ ก็ตาม การซื้อสินค้าเหล่านี้จากทัวร์โดยตรงนั้นมีคุณค่าทางความรู้สึกกว่ามาก และยังไงพวกเขาก็พร้อมเตรียมเงินจ่ายอยู่แล้ว
แต่กลยุทธ์ของ Taylor Swift ไปไกลกว่านั้น เพราะเริ่มดูการตลาดประเทศอื่น ๆ ที่ไม่ได้ไปจัดทัวร์ ด้วยการจัดคอนเสิร์ตแบบสตรีมมิงในโรงภาพยนตร์ด้วย โดยใช้ชื่อว่า “Taylor Swift: The Eras Tour” พร้อมทำรายได้ทะลุ 96 ล้านดอลลาร์ในช่วงสุดสัปดาห์เปิดตัวในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ตามข้อมูลจากเครือโรงภาพยนตร์ AMC นั่นทำให้เป็นภาพยนตร์คอนเสิร์ตที่ทำรายได้สูงสุดในประเทศในช่วงสุดสัปดาห์เปิดตัว
ซึ่งภาพยนตร์คอนเสิร์ต Taylor Swift The Eras Tour ใช้เวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงในการทำลายสถิติในสหรัฐอเมริกาของ AMC เพราะรายได้จากการขายตั๋วสูงสุดในช่วงวันเดียวในประวัติศาสตร์ 103 ปีของ AMC เลยก็ว่าได้
ซึ่งจากทั้งตัวเลข และสถิติทั้งหมดแสดงให้เห็นแล้วว่า Taylor Swift ไม่ได้เป็นเพียงแค่ศิลปิน หรือนักแต่งเพลงที่ดี แต่ยังเป็นนักธุรกิจที่มองขาดในความต้องการของแฟน ๆ ตัวเองด้วยนั่นเอง