นี่คือเหตุผลที่โลกสตรีมมิงแพงขึ้น ผู้บริโภคถูกบังคับให้จ่ายเพิ่มเพื่อเสพคอนเทนต์ที่ชอบ

ในยุคที่ผู้คนใช้เวลาไปกับคอนเทนต์บนสตรีมมิงมากกว่าคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดีย ก็นับว่าเป็นเวลาตักตวงของแพลตฟอร์มสตรีมมิงต่าง ๆ เลยก็ว่าได้ ทั้ง Netflix, Disney Plus, Amazon Prime, HBO และ Apple TV ต่างก็แข่งกันด้วยคอนเทนต์ที่มีเฉพาะในช่องของตัวเอง จนอาจนำไปสู่ราคาที่ผู้บริโภคอาจจะเริ่มจ่ายไม่ไหว

และที่ยากไปกว่านั้นคือในช่วงปีหน้าแพลตฟอร์มสตรีมมิงก็ยังคงเป็นเทรนด์สำหรับผู้บริโภคยุคนี้อยู่ เพราะคนเริ่มดูคอนเทนต์ในทีวีน้อยลง และโหยหาคอนเทนต์เอ็กซ์คลูซีฟมากขึ้น

ซึ่งจุดนี้เลยทำให้แพลตฟอร์มดั้นด้นที่จะผลิตออริจินัลคอนเทนต์ที่มีแค่ในช่องของตัวเองขึ้นมา เพื่อให้ผู้บริโภคยังคงตื่นเต้นกับหนัง หรือซีรีส์อะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ เพราะผู้คนยอมจ่ายเพื่อคอนเทนต์ที่หาชมที่ไหนไม่ได้

อย่าง Netflix ไม่มีซีรีส์ Game of Thrones และ Disney Plus ก็ไม่มี Stranger Things ด้วย เลยทำให้แต่ละสตรีมมิงต่างก็ต้องหาหนัง หรือซีรีส์ที่เป็นจุดขายของตัวเอง

ในตอนแรกอาจฟังดูเป็นสถานการณ์ที่ win-win กันทั้ง 2 ฝ่าย ในแง่ที่แพลตฟอร์มสตรีมมิงลงทุนเพื่อสร้างออริจินัลคอนเทนต์ของตัวเองเพื่อเสิร์ฟให้กับผู้ชม ในขณะเดียวกันผู้ชมก็เต็มใจที่จะจ่าย เพื่อให้ได้รับชมเช่นกัน แต่ดูเหมือนหลาย ๆ แพลตฟอร์มจะไม่หยุดอยู่แค่นั้นแล้ว

เริ่มที่ Netflix เพราะมีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด จากเดิมในปี 2011 ราคาสมัครสมาชิกอยู่ที่ประมาณ 300 บาทต่อเดือน จากนั้นก็มีการรับชมแบบพรีเมียม 4K อยู่ที่ประมาณ 400 บาทต่อเดือนในปี 2013 และกระโดดมาเป็น 500 บาทต่อเดือนแล้ว

ส่วนการรับชมแบบสแตนดาร์ดก็กระโดดจากเดิมที่ 350 บาท มาเป็นเกือบ 400 บาทต่อเดือนไปแล้ว ซึ่งเป็นราคาที่ขึ้นมาห่างกันแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น และมันอาจจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างแนบเนียน เพราะรู้ว่าผู้บริโภคยังไงก็ยอมจ่ายเพื่อคอนเทนต์

แต่อย่างไรก็ตามแพลตฟอร์มสตรีมมิงเหล่านี้ก็ไม่ได้กำไรมากเท่าที่ควรในการเพิ่มการสมัครสมาชิก เพราะการเติบโตของการสมัครสมาชิกน้อยลง และการยกเลิกการสมัครสมาชิกก็เพิ่มขึ้นอย่างสวนทาง

บริการสตรีมมิงเลยต้องหาช่องทางเอาตัวรอดในการขึ้นราคา หรือไม่ก็หันไปซบกับการลงโฆษณามากขึ้น รวมถึงมีค่าลิขสิทธิ์ในคอนเทนต์ของตัวเอง เพื่อนำไปลงบนแพลตฟอร์มอื่น ๆ ด้วย จึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ราคาสตรีมมิงแพงขึ้นเช่นเดียวกัน

อย่าง Apple TV ก็ประสบปัญหาเดียวกันกับ Netflix เช่นกัน จึงทำให้ขึ้นราคาบริการเกือบทั้งหมดของ Apple รวมถึง Apple TV Plus ด้วย แต่ก็อยู่ในช่วงที่ยังไม่ได้ให้โฆษณาเข้ามามีส่วนช่วยในการลดคอร์สเท่าไหร่ ซึ่งหากเราเห็นโฆษณาเพิ่มมากขึ้นก็คงไม่ต้องแปลกใจ

และในมุมกลับกันก็มีผู้บริโภคบางกลุ่ม เลือกที่จะทนรับชมโฆษณาเยอะ ๆ มากกว่าจะยอมจ่ายบริการสตรีมมิงแพลตฟอร์มที่แพงขึ้นเช่นกัน เพราะโฆษณา และวงการสื่อเป็นสิ่งที่เลี่ยงกันได้ยากมาก

และราคาสตรีมมิงก็สามารถสะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจได้ดีเหมือนกัน เพราะถ้าผู้บริโภคไม่ออกมาพูดว่าจุดสิ้นสุดของราควรอยู่ตรงไหน ราคาก็คงไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้แน่

จากเดิมที่แพลตฟอร์มสตรีมมิงมีราคาที่จับต้องได้ ก็เป็นเพียงยุคของการใช้กลยุทธ์ดึงดูดให้ผู้คนหันมาสมัครสมาชิกเท่านั้น เพราะปลายทางของมันจะนำไปสู่จุดที่ผู้บริโภคต้องเสียเปรียบ และไล่จ่ายตามราคาของสตรีมมิงให้ทัน

แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าในอนาคตราคาสตรีมมิงเกินขีดจำกัด หรือเปลี่ยนนโยบายการรับชมได้เพียงหนึ่งบัญชี หรือยกเลิกการแชร์บัญชีกัน ถึงเวลานั้นผู้บริโภคก็พร้อมที่จะยกเลิกการเป็นสมาชิกโดยไม่ลังเลเช่นกัน และสตรีมมิงเหล่านั้นก็จะอยู่รอดยากขึ้น

อ้างอิง: The Verge

Copyright © 2024 RAiNMaker. All rights reserved.

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save