เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมงานอีเวนต์ และออฟไลน์ต่าง ๆ ก็โดนคลื่นโรคระบาดอย่างโควิดซัดหนักไม่น้อย แต่พออะไร ๆ เริ่มฟื้นตัวขึ้น ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป และมีการแข่งขันที่มากขึ้น ฉะนั้นใครที่เป็นสายอีเวนต์ ทำการตลาดต้องตามเทรนด์อะไรในปีนี้กันบ้าง มาดูกัน!
โดยปกติแล้วอีเวนต์ (Event) ที่เราคุ้นเคยันมักจะเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อโชว์ เปิดตัว หรือรวมตัวคอมมูนิตี้เอาไว้ด้วยกัน แต่การโชว์เพื่อให้รู้มันไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว เพราะผู้คนโหยหาการมีส่วนร่วมกับสิ่งใหม่ ๆ มากขึ้นทุกวัน
และในยุคที่อุตสาหกรรมอีเวนต์ต้องแข่งกันจัด เราจะมีอาวุธหรือกลยุทธ์อะไรไปสู้ได้บ้าง เพื่อให้ชนะทั้งคู่แข่ง และชนะใจกลุ่มเป้าหมาย วันนี้ RAiNMaker สรุปเทรนด์มาให้แล้ว
Experience-First
เน้นให้ประสบการณ์มาก่อน
การวางแผนอีเวนต์จะไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป ถ้าเราไม่ได้มองมันเป็นงานที่มีแค่ตารางเวลา และสปีกเกอร์บนเวที แต่เป็นโลกที่หลาย ๆ คนมีความชอบเหมือนกันมารวมตัวกัน เพื่อสร้างประสบการณ์ร่วมกัน
ฉะนั้นการที่จะทำให้พวกเขาเหล่านั้นมีประสบการณ์ที่ดี ต้องมีอะไรที่จับต้องได้ ไม่ใช่แค่การเข้ามานั่งฟัง และกลับบ้าน ยกตัวอย่างเช่น Social Wall ไว้โชว์หน้าโซเชียลของอีเวนต์ที่คนร่วมเล่นสนุกผ่านแฮชแท็ก บูธกิจกรรมต่าง ๆ ที่คนมีของที่ระลึกกลับไปได้ หรือแม้กระทั่งโซน VIP ที่จะได้รับโอกาสในงานมากกว่าคนอื่น ๆ เป็นต้น
และการจัดงานแต่ละครั้ง เราจะรู้สึกภูมิใจในการเป็นเจ้าของงานได้ ก็ต่อเมื่อมีคนพูดถึง และสามารถทำให้พวกเขาเน็ตเวิร์กกิ้งกันต่อไปได้ เพียงแค่นี้ประสบการณ์ที่ว่าก็จะถูกบอกต่อกันไปกลายเป็นไวรัลด้วย
Sustainability
ส่งเสริมการจัดที่เป็นมิตรกับโลก
ไม่ใช่แค่อุตสาหกรรมอีเวนต์เท่านั้น แต่ตอนนี้ทุกอุตสาหกรรมกำลังมุ่งเป้าไปที่ความยั่งยืน รักษ์โลก และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทุก ๆ ด้าน หากมีโรงงานก็คงมีกระบวนการผลิต และแพ็กเกจที่ย่อยสลายได้
แต่กับอีเวนต์ก็สามารถโปรโมตด้านนี้ให้มากได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น การแนะนำร้านอาหาร หรือการเดินทางที่ปล่อยมลภาวะ และคาร์บอนน้อยที่สุด
รวมถึงมีโซนนำขยะ พลาสติก หรือขวดน้ำมาทำให้มีมูลค่ามากขึ้นได้ ไปจนถึงขายของมือสองเพื่อสนับสนุนการใช้ซ้ำ หมุนเวียนก็ได้เช่นกัน เพราะอีเวนต์มีการแข่งขันมาก พลังงาน และทรัพยากรก็ถูกใช้ไปมาก ถึงเวลาแล้วที่ผู้จัดอย่างเราต้องคืนอะไรกลับไปให้โลกบ้าง โดยไม่ได้ทำเพราะเป็นแค่เทรนด์
Brain Breaks Sessions
มีเซสชันเติมแรงบันดาลใจ
ทุกวันนี้โลก และสังคมของเราเต็มไปด้วยความเครียด ความกดดัน การแข่งขันที่มีแพ้ชนะมากมายเพื่อเอาชีวิตรอด โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอีเวนต์ก็เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความกดดันที่ต้องตามเทรนด์ให้ทัน ในยุค Productive
ฉะนั้นมันคงจะดีไม่น้อยถ้ามีเซสชันให้ผู้เข้าร่วมงานได้พักสมอง และเติมความครีเอทีฟ เติมพลังแพสชันกันบ้าง การได้ฟังเรื่องราว ประสบการณ์ ไปจนถึงเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพจิต และบาลานซ์ชีวิตกับงานนั้นก็สำคัญ
เพราะจะช่วยให้อีเวนต์ของเรามีความเข้าอกเข้าใจ (Empathy) ในมนุษย์ด้วยกันมากขึ้น และไม่ได้เน้นเรื่องที่ผู้คนต้องเจอในชีวิตประจำวันมากจนเกินไป รวมถึงการดีไซน์ให้มี Workshop เล็ก ๆ ก็ช่วยให้พวกเขาผ่อนคลายได้ และจะกลับมางานของเราอีกแน่นอน
Enhanced Personalization
ยกระดับด้วยความเอ็กซ์คลูซีฟ
ยุคที่เรามี Big Data และ AI ไปจนถึงเครื่องมือ Machine Learning อยู่ ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างความเอ็กซ์คลูซีฟให้กับอีเวนต์ได้ด้วย โดยเฉพาะการนำข้อมูล หรืออินไซต์มาเปลี่ยนให้เป็นสิ่งที่จับต้องได้
เช่น การนำข้อมูลอินไซต์ ความชอบ ความสนใจ และพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายงาน มาสร้างแผนที่ออนไลน์ในอีเวนต์ที่มีแต่จุดน่าสนใจเหมาะกับคนแต่ละสาย หรือนำอินไซต์นั้น ๆ มาสร้างเซสชันใหม่ ๆ เพื่อให้พวกเขาได้เติมสกลิ หรือได้อะไรกลับไปจากงานของเรา
นอกจากนี้ในช่วง post-event ยังสามารถครีเอทีฟการติดตามข่าวสาร หรือ Marketing Messages ให้เหมาะกับผู้เข้าร่วมงานได้ ซึ่งเป็นวิธีที่อีเวนต์ของต่างประเทศใช้กันเยอะ
Non-traditional Place
เลือกสถานที่ให้เป็นมากกว่าอีเวนต์
การจัดอีเวนต์ในยุคนี้ การครีเอทีฟเนื้อหา และสปีกเกอร์ที่ต้องมีเพื่อดึงดูดความสนใจนั้นไม่เพียงพอ แน่นอนว่าบางครั้งผู้คนมาเพราะอยากเจอใครในงาน หรือมีเนื้อหาและหัวข้อที่ห้ามพลาด แต่สถานที่ก็ไม่ควรเป็นงานอีเวนต์ หรือดูสัมนาเกินไป
แต่ควรทำให้อีเวนต์มีความเป็นวิชวลเพิ่มขึ้น คำนึงตั้งแต่การเดินเข้ามาถึงสถานที่จัดงาน โฟลว์ของการเข้างานก็ยิ่งสำคัญ เพราะทุกย่างก้าวสามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้เข้าร่วมงานได้
Hybrid Events
ออฟไลน์มาได้ ออนไลน์ดูได้
ตั้งแต่โควิดระบาดมาจนถึงตอนนี้ ผู้คนก็ชินกับการทำงาน หรืองานอีเวนต์แบบไฮบริดจ์ไปแล้ว แน่นอนว่าการมาเจอกันที่งานก็จะได้ประสบการณ์ที่มากกว่า แต่นั่นไม่ใช่สำหรับทุกคน โดยเฉพาะคนที่อยากมาแต่มาไม่ได้
ฉะนั้นการวางแผนการจัดงานให้ครอบคลุม และยืดหยุ่นในเรื่องของประสบการณ์ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ไว้ก่อนย่อมได้เปรียบกว่า เพราะเป็นการเพิ่มฐานกลุ่มเป้าหมายต่างประเทศที่ไม่สามารถเดินทางเข้ามาร่วมงานได้ด้วย
AI in Event Organization
ใช้ AI วางแผนการจัดการ
ตอนนี้ AI และเทคโนโลยี AR หรือ VR ต่าง ๆ ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของผู้ช่วยของมนุษย์ในการทำงานไปแล้ว ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การวิเคราะห์ หรืจัดการข้อมูล แต่ช่วยสร้างประสบการณ์ในอีเวนต์ได้ด้วยหากรู้จักใช้ให้เป็น
ซึ่งหากใครที่ต้องการวางแผนการจัดงานอีเวนต์ AI ยังเป็นตัวจุดประกายไอเดียเริ่มต้นให้เราได้ด้วย เช่น แพลนและหัวข้อภายในงาน สปีกเกอร์ที่น่าสนใจ เป็นขั้นตอนรวมไอเดียใหม่ ๆ ช่วง pre-event marketing
หรือจะใช้ AI เป็นตัวแทนคอยตอบแชตเสมือนบอทก็ได้เช่นกัน แต่ควรใช้เฉพาะกับคำถามทั่วไปเท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้วผู้คนก็ชอบที่จะได้คุยกับคนด้วยกันมากกว่า แต่ในแง่ของการอัปเดตเกี่ยวกับอีเวนต์ ให้เป็นเรื่องของ AI ได้
โดยสรุปแล้วทั้ง 7 เทรนด์ที่กล่าวไป จะมีประโยชน์สูงสุดถ้าเราประยุกต์ใช้กับอีเวนต์ที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่ง หรือกลุ่มเป้าหมายที่เราต้องแข่งกันเอาชนะในสมรภูมินี้ หากรู้จักงานของเราดีว่ามีของดีอะไรที่อยากโชว์ แล้วอยากให้คนพูดถึงต่อ ๆ กันไปแบบไหน และทำให้แตกต่างแต่น่าจดจำอย่างไร ก็สามารถเริ่มวางแผนได้แล้วตั้งแต่วันนี้
อ้างอิง: Marketing Insider Group