ในปีนี้ทั้งความรู้สึกของผู้บริโภค การขวนขวายในเทคโนโลยีใหม่ ๆ และการตระหนักรู้ถึงสิ่งแวดล้อม หรือความยั่งยืน กลายมาเป็นปัจจัยที่ทำให้แบรนด์มีความท้าทายมากขึ้น ซึ่ง “Heart of Branding” ที่ควรอัปเดตจะมีอะไรบ้าง ตามไปดูกันเลย!
สิ่งสำคัญที่จะทำให้แบรนด์สามารถตามการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยหยุดนิ่งในวงการนี้ได้ ก็คือการทำความเข้าใจความรู้สึกใหม่ ๆ ของผู้บริโภค ซึ่งเรื่องของแบรนด์ไม่ได้มีแค่โปรดัก และบริการอย่างเดียว แต่ต้องคำนึงถึงการตอบสนองด้วยการสร้างประสบการณ์ที่ดีกลับไป
โดยกลยุทธ์ Heart of Branding ที่เป็นหัวใจหลักของการสร้างแบรนด์ที่ดี จะต้องนำข้อมูลอินไซต์ของแบรนด์ที่เก็บจากลูกค้า การคาดการณ์ และการวิเคราะห์ มาผสมกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อประเมินว่าแบรนด์ที่ดีต้องเป็นแบบไหนด้วย วันน้ี RAiNMaker เลยสรุปเทรนด์ และกลยุทธ์จาก The Branded มาฝากกัน
กลยุทธ์ Heart of Branding
ปัจจุบันการที่แบรนด์มีแค่ชื่อ หรือโลโก้ให้เป็นที่จดจำคงไม่พอ เพราะผู้บริโภคต่างก็มองหาแบรนด์ที่จริงใจ และเข้าใจพวกเขามากที่สุด ซึ่งแบรนด์ไหนสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้บริโภคได้ก็จะเป็นฝ่ายชนะไปไม่ว่าจะอยู่ในส่วนแบ่งตลาดไหน
Emphasizing Authenticity
เป็นแบรนด์ที่จริงใจ และโปร่งใส
สินค้าดี บริการดีในตอนนี้กลายเป็นเรื่องรองไปแล้วสำหรับผู้บริโภค เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องการจากแบรนด์สองอันดับแรกก็คือความจริงใจ และความโปร่งใสในการสื่อสารแบรนด์ดิงที่เชื่อมโยงกับแบรนด์ และชอบที่จะได้รู้จักตัวตนของแบรนด์เพื่อสร้างความเชื่อใจก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า และบริการ
Purpose Beyond Profit
มีจุดยืนของแบรนด์ดิงชัดเจน
ผู้บริโภคยุคใหม่โดยเฉพาะ Gen-Z และ Millennials ในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนแบรนด์ที่มีจุดยืนเดียวกันกับพวกเขาด้วยความเข้าใจ มากกว่าจะสร้างแบรนด์ดิงตามกระแส ฉะนั้นแบรนด์จึงควรแสดงให้เห็นถึงประเด็นที่อยากจะสนับสนุนมากขึ้น โดยเฉพาะประเด็นสิ่งแวดล้อม เนื่องจากตามรายงานของ Nielsen ปี 2023 พบว่า 73% ของ Millennials ยินดีที่จะจ่ายเงินให้กับแบรนด์ที่รับผิดชอบต่อสังคม และความยั่งยืน
Cultural Sensitivity
ระมัดระวังเรื่องความเซนซิทีฟของวัฒนธรรม
แม้เรื่องของวัฒนธรรมจะเป็นเรื่องที่เซนซิทีฟ และมีความแตกต่างกันทั่วโลก แบรนด์ก็ต้องสามารถตระหนักทั้งผลดี และผลกระทบของวัฒนธรรมนั้น ๆ ได้ โดยไม่ตัดสิน หรือวัดจากวัฒนธรรมใดวัฒนธรรมหนึ่ง เพื่อสร้างกลยุทธ์การตลาดให้เข้าถึงผู้บริโภคได้หลากหลายมากขึ้น โดยผลสำรวจจาก Adobe พบว่า 61% ของผู้บริโภคเชื่อว่าความหลากหลายในการโฆษณาเป็นสิ่งสำคัญ
Social Responsibility
มีความรับผิดชอบต่อสังคม และโลกโซเชียล
“ถ้าผิดก็ขอโทษ หรือแตกต่างก็ควรรับฟังอย่างเข้าใจ” เป็นสิ่งที่แบรนด์ในยุคโซเชียลมีเดียต้องปรับตัวให้ได้ เพราะเป็นโลกที่ไม่มีอะไรสามารถปิดบังได้ และมีผู้คนที่พร้อมจะขุด และค้นหาข้อมูลมาพิสูจน์ให้เสมอหากเจอสิ่งที่ไม่ถูกต้อง การแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมของแบรนด์จึงต้องตรงไปตรงมา และพร้อมที่จะรับมือกับทุกความเสี่ยงด้วย
Sustainable & Ethics Practices
ใส่ใจเรื่องความยั่งยืน
“ความยั่งยืน” ไม่ได้เป็นแค่ศัพท์เฉพาะที่ใช้กับเรื่องของสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป แต่ในด้านธุรกิจ และแบรนด์ก็สามารถสร้างกลุยทธ์การตลาดให้ยั่งยืนได้เช่นกัน แต่ความยั่งยืนที่แบรนด์นำมาประยุกต์ใช้จะต้องเป็นสิ่งที่กำลังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคที่ตระหนักถึงผลกระทบทางระบบนิเวศจริง เพราะแนวโน้มนี้จะนำไปสู่การทำให้แบรนด์มีมูลค่า และจริยธรรมมากขึ้นในสังคม เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความภักดี (Loyalty) ต่อแบรนด์ได้
Consumer Alignment
มีความเป็นหนึ่งเดียวกับผู้บริโภค
การสร้างแบรนด์ปีนี้ควรมีการสนับสนุนทั้งคุณค่าความคิด และค่านิยมของผู้บริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่มีอิทธิพลต่อการขับเคลื่อนเทรนด์ทุกอย่างในปัจจุบัน ซึ่งหากสิ่งนั้นมีความหมายมากพอ นอกเหนือจากการทำกำไรให้แบรนด์แล้ว การปรับแบรนด์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคจะช่วยให้พวกเขารู้สึกว่ามีแบรนด์เป็นพวกเดียวกันมากขึ้น
The Aesthetic Shift
โฟกัส Minimalism หรือ Maximalism
แม้ความน้อยแต่มาก หรือมากแล้วแต่ยังมากได้อีกจะมีความต่างกันมาก แบรนด์ก็สามารถเลือกได้ว่าอยากให้คนจดจำด้วยภาพลักษณ์ที่เรียบง่าย แต่มีความโดดเด่นในตัวตน หรือจะเน้นไปที่ความจัดจ้าน องค์ประกอบเยอะเป็นเอกลักษณ์ก็ได้เช่นกัน เพียงแค่ต้องมองให้ออกว่าแบรนด์ของเราเหมาะกับแบบไหน หรือผู้บริโภคชอบแบรนด์แบบไหนด้วย
The Visual Impact
มีวิชวลที่สื่อถึงแบรนด์ดิง
หากพูดถึงวิชวลที่มีองค์ประกอบทั้งสี โลโก้ผสมผสานกันออกมาเป็นดีไซน์ที่มีความเฉพาะตัวของแบรนด์ จะช่วยเพิ่มการจดจำแบรนด์ได้ถึง 80% เลยทีเดียว เช่น Starbucks มีสีเขียว และ IKEA มีสีเหลือง และน้ำเงินเป็นหลัก ซึ่งการดีไซน์ที่ดีก็ต้องมีความหมายสื่อถึงแบรนด์ได้ด้วยไม่ว่าจะใช้กับดีไซน์อะไรก็ตาม
Regenerative Branding
กล้าเสี่ยง และทดลองสิ่งใหม่ให้แบรนด์
จากยุคของแบรนด์ที่ผู้บริโภคอยากมีส่วนร่วมให้มากขึ้น ในปีนี้มันจะก้าวขึ้นไปอีกขั้นเพราะผู้บริโภคอยากที่จะปรับแต่ง และแสดงความเป็นเจ้าของเฉพาะตัวได้ในแบบที่แตกต่างจากคนอื่นได้ ฉะนั้นแบรนด์ไหนที่มีให้ Custom หรือ Personalization กับสินค้า หรือแคมเปญก็จะยิ่งได้เปรียบ
Storytelling and Emotional
สร้างเรื่องให้คอนเน็กกับผู้บริโภค
เรื่องของ Storytelling และ Emotional เป็นของคู่กันที่ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์ไหนก็ต้องผนวกสองอย่างนี้เข้าไปด้วย ซึ่งในปีนี้แบรนด์ก็ควรโฟกัสทั้งการสร้างเรื่องราวแบรนด์ดิงให้เชื่อมโยงกับผู้บริโภคมากขึ้น เพราะเรื่องราวที่สื่อสารแล้วทำให้ผู้บริโภครู้สึก มักจะมีความหมาย และสร้างความเชื่อใจ (Trust) ในแบรนด์ได้เสมอ
เช็กการสร้างแบรนด์ด้วย Digital Innovation
นวัตกรรม และเทคโนโลยีในปีนี้ต่างก็พัฒนามาเพื่อเป็นตัวช่วยประหยัดเวลาในการทำงาน และกลายมาเป็นส่วนสำคัญเพื่อให้แบรนด์มีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะไม่ได้เข้ามาเปลี่ยนวิธีการสื่อสารระหว่างแบรนด์ และผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบประสบการณ์หลายอย่างที่แบรนด์ประยุกต์ใช้ได้จริงด้วย
AR & VR
สร้างเอ็นเกจเมนต์ให้แบรนด์แบบ Immersive
ทั้ง Augmented Reality (AR) และ Virtual Reality (VR) ต่างก็มีนวัตกรรมที่ยกระดับขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี ไม่ว่าจะเป็น Metaverse, AI หรือ Vision Pro ต่างก็พัฒนามาจากเทคโนโลยีสร้างโลกเสมือน ซึ่งแม้แบรนด์ไหนที่ยังไม่กระโดดเข้าไปมีส่วนร่วมกับเทรนด์เหล่านี้ในตอนนี้ เราเชื่อว่าสักวันความก้าวหน้า และเข้าถึงได้ของเทคโนโลยีจะทำให้แบรนด์เริ่มปรับตัวไปเองแน่นอน
AI-Driven Personalization
หา AI มาเป็นผู้ช่วยเก็บข้อมูล
AI ในตอนนี้มีพัฒนาการมากกว่าการเป็นแค่แชตบอทแล้ว เพราะถามตอบพร้อมอินไซต์เป็นเรื่องที่เริ่มจะเจอเยอะขึ้น แต่การใช้ AI มาเก็บข้อมูลเพื่อให้แบรนด์นำไปประยุกต์ใช้ต่อในการบริการลูกค้า ปละปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าจะช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์ และลูกค้ามีความเหนียวแน่นมากขึ้น เพราะแบรนด์สามารถเสิร์ฟตรงทุกความต้องการของพวกเขาได้
Brand Exposure with Social Media
กระตุ้นยอดขายด้วยแพลตฟอร์มโซเชียล
ทุกวันนี้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ กลายเป็นบ้านหลังแรกของหลาย ๆ แบรนด์ไปแล้ว เพราะอิทธิพลของโซเชียลมีเดียต่อการเติบโตของแบรนด์นั้นมีผลมาก ซึ่งแบรนด์ไม่ได้ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อทำการตลาดเพียงเท่านั้น แต่ยังช่วยให้แบรนด์แสดงตัวตน และสื่อสารจนเข้าถึงผู้บริโภคให้มีส่วนร่วมร่วมกันได้หลากหลายด้วย
Omnichannel Marketing
ใช้กลยุทธ์เก็บข้อมูลลุกค้าไว้ในที่เดียว
การตลาดแบบ Omnichannel กลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับแบรนด์ในการรักษาสถานะ และช่องทางการเข้าถึงลูกค้าไปแล้ว อย่าง Apple ที่มี iCloud เป็นฐานข้อมูลหลักที่เดียวก็สามารถเปลี่ยนมาใช้ iPhone รุ่นใหม่ได้ทุกปีโดยไม่ต้องกังวล ซึ่งเริ่มมีหลายแบรนด์มากแล้วที่เริ่มเก็บข้อมูลของผู้บริโภคด้วยวิธีนี้ เพราะพวกเขามักจะสลับช่องทางการสื่อสารทั้งออฟไลน์ และออนไลน์อยู่เสมอ
User-Generated Content (UGC)
ซัพพอร์ตคอนเทนต์แบรนด์จากลูกค้า
การที่แบรนด์มีครีเอทีฟออริจินัลคอนเทนต์ของตัวเองก็นับเป็นเรื่องดี แต่จะดีกว่าหากได้เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้าง User-Generated Content (UGC) เกี่ยวกับแบรนด์เป็นของตัวเองด้วย เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผู้บริโภคสมัยนี้เชื่อใจคอนเทนต์จากคนทั่วไป หรืออินฟลูเอนเซอร์มากกว่าช่อง Official ของแบรนด์แล้ว
จาก Herat of Branding และการสร้างแบรนด์ด้วย Digital Innovation ที่กล่าวมาก็แสดงให้เห๋นแล้วว่า กลยุทธ์ใหม่ ๆ ของแบรนด์จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการพัฒนาของเทรนด์ ผู้บริโภค และเทคโนโลยี ซึ่งการปรับตัวจะมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละแบรนด์ด้วยว่าจะทำอย่างไรให้ไม่เสียตัวตน หรือตามเทรนด์ของผู้บริโภคมากเกินไป
เพราะท้ายที่สุดแล้วไม่มีข้อไหนที่ดีที่สุด หรือการันตีได้ว่าจะทำให้แบรนด์เติบโตไปได้ตลอด แต่สิ่งที่การันตีได้แน่นอนนั่นก็คือการเรียนรู้ และปรับตัวให้ยืดหยุ่นอยู่เสมอจะช่วยให้แบรนด์สามารถเชื่อมโยงกับผู้บริโภค หรืออาจจะกลายเป็นผู้นำเทรนด์ที่มาก่อนกาลก็ได้นะ
