กลุ่มนักกฎหมายเสนอร่างกฎใหม่ ร่างกฎหมายปกป้องชาวอเมริกันจากแอปพลิเคชันที่ควบคุมโดยศัตรูต่างชาติ (The Protecting Americans from Foreign Adversary Controlled Applications Act) บังคับให้ ByteDance บริษัทแม่ขายหุ้น TikTok ภายใน 6 เดือน มิเช่นนั้นแอปจะโดนแบนจาก App Store และ Web Hosting ในสหรัฐฯ
ซึ่งร่างกฎหมายใหม่นี้ ถือเป็นความพยายามอันยาวนานของสหรัฐฯ ในการแบน TikTok หรือบีบบังคับให้ ByteDance ขายหุ้น TikTok ตั้งแต่สมัยประธาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่พยายามบังคับให้บริษัทแม่ขาย TikTok ในปี 2020 แต่ไม่สำเร็จ
จนมาถึงการร่วมมือระหว่างพรรครีพับลิกัน และพรรคเดโมแครต ในการพยายามดำเนินการเรื่องนี้ต่อโดยการร่างกฎหมายดังกล่าวขึ้นมา เพื่อแก้ไขปัญหาข้อกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง TikTok และรัฐบาลจีน ที่ทางสหรัฐฯ อ้างว่า ByteDance มีความเกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) จึงอาจมีการสอดแนมข้อมูลดิจิทัลของประชาชน ซึ่งถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ
หากการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ของสหรัฐฯ สำเร็จ นี่จะเป็นใบเบิกทางให้การแบนแอปอื่น ๆ ที่ถูกควบคุมโดยศัตรูต่างชาติ (Foreign Adversary-controlled Apps) เกิดขึ้นได้จริง หากประธานาธิบดีเห็นว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงต่อชาติ
ส่วนด้าน TikTok กล่าวว่า ร่างกฎหมายนี้ถือเป็นการเหยียบย่ำสิทธิ์ในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐครั้งที่ 1 ของชาวอเมริกัน 170 ล้านคน รวมถึงกีดกันธุรกิจขนาดเล็กที่กำลังเติบโตและสร้างอาชีพบนแพลตฟอร์มกว่าอีก 5 ล้านธุรกิจ
โดย TikTok ได้ใช้เวลาร่วมหลายปีในการพยายามจัดการข้อกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงต่อชาติด้วยการเริ่ม Project Texas ขึ้นมา พร้อมมีการเจรจากับคณะกรรมการการลงทุนต่างประเทศในสหรัฐฯ (CFIUS) แล้วว่าข้อมูลของผู้ใช้สหรัฐฯ จะถูกเก็บแยกอยู่ที่ US-based Servers เท่านั้น รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐฯ สามารถดูแลการตรวจสอบ Source Code และการดำเนินการด้านอื่น ๆ ได้
จากประเด็นดังกล่าว ทำให้สหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน (ACLU) ได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงการพยายามแบน TikTok ของรัฐบาลว่าร่างกฎหมายใหม่นี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และส่งผลกระทบต่อเสรีภาพในการพูด พร้อมเสริมว่าสภาคองเกรสสามารถปกป้องข้อมูลความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัยของประชาชนได้โดยที่ไม่ต้องจำกัดการเข้าถึงแอประดับโลกได้
ความพยายามในการแบนแอปในสหรัฐฯ และบีบบังคับให้ ByteDance ขายหุ้น TikTok จะเป็นอย่างไรต่อไป และสุดท้าย TikTok จะยังได้อยู่บน App Store ในสหรัฐฯ หรือไม่ คงต้องคอยติดตามกันต่อไป
ที่มา: Engadget