ในยุคที่อะไรก็เน้น “ความเร็ว” ไปเสียหมด ตั้งแต่ TikTok ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงวงการโซเชียลจนต้องมี Reels และ Shorts ตามมา เพราะคนชอบคลิปสั้นกระชับ เล่าเรื่องจบภายในไม่กี่นาที ส่งผลมาถึงคอนเทนต์ และข่าวที่เราเสพ เริ่มจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปเป็นแค่พาดหัวข่าวแล้ว
แม้จะเป็นเรื่องเลี่ยงยากสำหรับการเปลี่ยนแปลงในวงการสื่อที่พัฒนาไปตามยุคสมัย ตั้งแต่สื่อดั้งเดิมอยากหนังสือพิมพ์ มาจนวิทยุ และโทรทัศน์ พออินเทอร์เน็ตเริ่มเข้ามามีบทบาท ทุกสำนักก็เปลี่ยนไปเป็นการลงข่าวออนไลน์แทน
และเมื่อยุคโซเชียลมีเดียมาถึง จากการลงข่าวเพียงแค่บนเว็บไซต์ กลับทำให้ Facebook และ Twitter กลายเป็นหนึ่งใน KPI เพื่อเป็นบรรทัดฐานวัดยอด Reach วงการสื่อไปแล้ว
จากสื่อที่ควรจะสร้าง Value ให้กับสังคม บางครั้งก็ต้องปรับตัว และวิ่งไปตามวัฏจักรของอัลกอริทึมจนได้ ซึ่งอาจทำให้เราหลงลืมเอกลักษณ์ของตัวเองไป เพราะมัวแต่วิ่งตามมันให้ทันก็เป็นได้
เริ่มจาก Mark Zuckerberg ปรับอัลกอริทึมของ Meta (Facebook และ Instagram) ให้หน้าฟีดมีการแนะนำวิดีโอ และโพสต์จากคอมมูนิตี้ Facebook Group มากขึ้น รวมถึงมีฟังก์ชัน Reels เพิ่มเติมมา จนทำให้ยอด Reach ของโพสต์ที่เป็น Text หรือรูปภาพแบบเดิมถูกลดลงไป
เช่นเดียวกับ Text มักจะมาพร้อมกับกราฟิกในการนำเสนอข่าวของสื่อ แต่ครั้งนี้ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงลดทอนเหลือแค่ Text ไม่กี่บรรทัดเช่นกัน ซึ่งการนำเสนอรูปแบบนี้ง่ายต่อการรับรู้ของผู้คน และดันยอดเอ็นเกจเมนต์ได้มากกว่าเป็นเรื่องจริง
แม้จะเป็นเรื่องดีที่ทุกคนได้เสพข่าวด่วนในรูปแบบเรียลไทม์ได้ เพราะกราฟิกต้องใช้เวลา กลับกันถ้ามีการนำเสนอข่าวแบบนี้ต่อไปเหมือนกันทุกสำนักข่าว ก็อาจทำให้ไม่มีอะไรแตกต่างในการเป็นสื่อเลย และแข่งกันแค่ใครพิมพ์เร็วกว่าก็สามารถลงก่อนเพียงแค่นั้น
ในฐานะที่ RAiNMaker ที่เป็นสื่อก็ยังเชื่อว่า กราฟิกในสื่อยังคงสร้างความแตกต่าง และสร้างเอกลักษณ์ให้ผู้คนจำได้ ในขณะเดียวกันข่าวที่มีเพียงแค่ Text ก็สามารถสร้างการรับรู้ที่รวดเร็วในเวลาฉุกเฉินกับข่าวที่ต้องรู้ทั่วกัน
ฉะนั้นการประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมในช่องทางของตัวเองจึงเป็นทางออกที่ดีสุด โดยไม่ลดทอนคุณค่าของข่าว หรือคุณค่างานของกราฟิกในการสร้างสรรค์ภาพข่าว เพื่อที่วงการสื่อจะได้คงความหลากหลายในสังคมโลกออนไลน์ต่อไป โดยไม่ได้วิ่งไล่ตามการเปลี่ยนแปลงอัลกอริทึมจนถูกกลืนกินเพียงอย่างเดียว
