Workpoint นับเป็นค่ายทีวีดิจิทัลที่มีการปรับเปลี่ยนตามพฤติกรรมของคนดูอยู่ตลอด ตอนนี้เริ่มปรับแผน และลดคนใหม่ เพื่อไปโฟกัสกับตลาด T-Pop และลดตลาดละครลง เนื่องจากสถานการณ์เม็ดเงินโฆษณาทีวีนั้นมีการปรับลดลงมากในช่วงไตรมาส 4 และคาดว่าจะส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องยันปี 2568 เลยทีเดียว
และนอกจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว ปัจจัยทั้งหมดก็คาดการณ์ว่า รายได้จากการขายโฆษณาปี 2568 จะอยู่ที่ 1,100 – 1,150 ล้านบาท ลดลง 5-10% จากปีนี้คาดจะปิดตัวเลขที่ 1,200 ล้านบาท
ทำให้บริษัทต้องเดินหน้าปรับแผนใหม่เพื่อชดเชยรายได้โฆษณาทีวีดิจิทัลที่หายไปทุก ๆ ไตรมาส โดยบริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ เริ่มจากการยุติการผลิตละคร และปิดแผนกธุรกิจด้านละคร รวมถึงเลิกจ้างพนักงานด้วย ก็ทำให้บริษัทประหยัดค่าใช้จ่ายราว 100 – 150 ล้านบาทต่อปี
โค้งสุดท้ายที่เหลือก็จะนำละครที่มีทั้งหมด 2 เรื่องมาสต็อกมาออกอากาศ ส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มในไตรมาส 4 ราว 30 – 40 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ยังคงรับจ้างผลิตละคร หรือคอนเทนต์ให้กับลูกค้าต่าง ๆ อยู่
โดยสุรการ ศิริโมทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงินการลงทุน ได้คอนเฟิร์มแล้วว่า ปีหน้าจะไม่มีคอนเทนต์ละครในช่อง Workpoint เพราะเปลี่ยนกลยุทธ์มาเน้นผลิตรายการวาไรตี้ พ่วงอีเวนต์ on ground และรักษาฐานลูกค้าเดิม เพิ่มลูกค้าใหม่ไปด้วย เพราะลูกค้าแบรนด์ต้องการใกล้ชิดกับกลุ่มเป้าหมาย
ด้าน T-Pop ก็มีการบริหารจัดการศิลปินภายใต้ค่าย XOXO ENTERTAINMEN กับเด็กฝึกในสังกัด 24 คน โดยคาดว่าจะปั้นศิลปินเดี่ยว และศิลปินกลุ่มอย่างบอยแบนด์ หรือเกิร์ลกรุ๊ปได้ประมาณ 2-3 กลุ่ม
ส่วนศิลปินในสังกัดอย่าง 4EVE และ ATLAS ก็เตรียมหาลุยตลาดต่างประเทศ และยัง “ร่วมทุน” กับ “เบิ้ล ปทุมราช” ตั้งบริษัท ดับเบิ้ลพอยท์ 98 เพื่อปั้นศิลปินแนวเพลงอิสระหรืออินดี้ เพื่อรุกตลาดใหม่ ๆ ต่อไป
รวมถึง บริษัท กรุงเทพ เอ็กซิบิชั่น จำกัด ก็ยังดึงคอนเสิร์ตจากต่างประเทศมาจัดด้วย แต่จะมีการลดจำนวนงานลง เพราะตลาดนี้กลายเป็น Red Ocean ไปแล้ว หลังมีศิลปินยกทัพกันมาจัดคอนเสิร์ต และอีเวนต์ รวมถึงแฟนมีตในไทยกันแน่น
แต่บริษัทจะให้ความสำคัญกับการจัดคอนเสิร์ต T-Pop ศิลปินในสังกัดแทน และยังมีแพลนจะจัดแสดงละครเวทีอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำกำไรให้ได้ 20-25% จากเดิมที่ทำกำไรได้เองอยู่ราว ๆ 10-20% ปลาย ๆ และคาดว่าภาพรวมอีเวนต์ในปี 2568 จะมีถึง 50 อีเวนต์เลยทีเดียว
แต่นอกจากแพลนของตลาด T-Pop แล้ว ทาง Workpoint ก็เดินหน้าผลิตภาพยนตร์ปีละ 2-3 เรื่องเช่นกัน โดยเบื้องต้นวางงบลงทุน 100-120 ล้านบาท รวมถึงการผลิตรายการตามลูกค้าต้องการ หรือที่เรียกว่า “Tailar made” และหาพันธมิตรแพลตฟอร์มวิดีโอออนไลน์ (OTT) ด้วย
ซึ่งตลาดออนไลน์ก็นับว่าเป็นตลาดที่บูมเพราะมีผลิตคอนเทนต์ออนไลน์ ทั้งจาก “โคตรคูล” และจากบริษัทร่วมทุนกับ “เบิ้ล ปทุมราช” ไปจนถึงการจับมือพาร์ตเนอร์ใช้เวลาออกอากาศทางทีวี (Airtime) เพื่อพัฒนาสินค้ามาจำหน่ายทั้งหมวดผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และอาหารด้วย
โดยภาพรวมแล้วตอนนี้ Workpoint ไม่ได้เป็นแค่ธุรกิจทีวีดิจิทัลแล้ว แต่ยังเป็นศูนย์รวมของ T-Pop เพื่อฝึก และดันศิลปินไทยให้มีคุรภาพ ส่งออกไปยังต่างประเทศได้ และการผลิตคอนเทนต์มากมายที่พร้อมเสิร์ฟให้กับลูกค้าที่ต้องการนั่นเอง
จากทั้งหมดนี้จึงเป็นกลยุทธ์ที่จะช่วยดันธุรกิจให้โตมากขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า อย่างปี 2568 ก็จะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 2,500 ล้านบาท และทำกำไรสัดส่วน 2-3% เพราะยังมีการใส่เงินลงทุนฝึกศิลปิน 24 คนในปีหน้า เป็นต้น
ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ – https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1157265?aoj=