ถ้ายังจำกันได้ ตอนที่ Facebook ประกาศว่าจะมาเป็น Platform Video คู่แข่งกับ YouTube หนึ่งในวิธีการสำคัญที่ Facebook ใช้ก็คือการปรับวิดีโอบนหน้า Newsfeed ให้เป็นแบบ Auto-play หรือการเล่นแบบอัตโนมัติ เพียงแค่เราเลื่อนผ่านวิดีโอก็จะเล่น ดังนั้นในการเลื่อนผ่าน 1 ครั้งเราจะมีโอกาสเห็นวิดีโอประมาณ 1-2 วินาที (ซึ่งภายหลังก็กลายมาเป็นสูตรการทำวิดีโอบน Social ว่าต้องทำให้คนหยุดดูให้ได้ใน 3 วินาที) และความแสบก็คือการยกเลิกความสามารถในการเล่นวิดีโอ YouTube บน Facebook ผลก็คือ ตอนนี้ Facebook กลายเป็น Platform Video ที่ได้รับความนิยมสูงพอ ๆ กับ YouTube
แม้ว่าจากที่ผ่านมา เราจะได้เห็นกันแล้วว่าธรรมชาติของวิดีโอบน Facebook กับ YouTube นั้นแตกต่างกัน แต่ช่วงหลัง ๆ Facebook ก็ปรับตัวให้มีความเป็น Social Network มากขึ้น และเอาใจบรรดา YouTuber หรือ Creator ด้วยการเพิ่มฟีเจอร์อย่าง การถามตอบ การทำโพล หรือล่าสุดที่ก็ได้มีการเปิดตัว Story คล้ายกับ Instagram ออกมา
แต่สิ่งแรกที่เราต้องโฟกัสกับข่าวนี้ ซึ่ง YouTube ได้ออกมาบอกเองว่า จะมีการนำฟีเจอร์ auto-play (แบบที่ Facebook ทำ) มาใช้งาน เราต้องคิดถึงธรรมชาติของ Platform ทั้ง 2 ตัวที่แตกต่างกันก่อน Facebook เป็น Social Network ที่คนเข้ามาดูทุกวันเพื่อดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งคอนเทนต์บน Facebook ไม่ได้จำกัดอยู่แค่วิดีโอ แต่ยังมีเรื่องราวอื่น ๆ อีกมาก ส่วน YouTube คนจะกดเข้ามาก็ต่อเมื่ออยากจะดูวิดีโอบางอย่าง (ทั้งมีเป้าหมายและไม่มีเป้าหมาย) หรืออยากเข้ามาดูว่า YouTuber หรือ Creator ที่ชอบ อัพโหลดคลิปใหม่หรือยัง
นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่จากรายงานของ Business Insider ในปีที่ผ่านมาบอกว่า Facebook เป็นแอพที่มีการใช้งานสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ YouTube
ความท้าทายของการทำ auto-play บน YouTube Feed
ปกติแล้ว คนจะกดดูคลิปขึ้นอยู่กับว่าเขาจะเจอคลิปได้อย่างไร บน Facebook เราเจอคลิปบน Newsfeed ในขณะที่ YouTube เราอาจจะเจอคลิปแบบ Suggestion ขึ้นมา หรือคลิปที่ใกล้เคียง (Related) แต่การที่ YouTube ไม่ได้มี auto-play ทำให้การตัดสินใจจะกดเข้าดูคลิปหรือไม่ขึ้นอยู่กับ 2-3 ปัจจัย เช่น
- คลิปชื่ออะไร
- รูปปกของคลิป (Thumbnail) คือรูปอะไร
- ข้อมูล meta ทั่วไป เช่น ยอด view, ผู้อัพโหลด เวลาที่อัพโหลด
ในขณะที่ Facebook นั้นสิ่งแรกที่เราจะเห็นเด่นเป็นสง่าก่อนเลยก็คือคอนเทนต์ในวิดีโอ เราถึงได้เน้นย้ำกันเสมอว่า ทำคลิปลง Facebook ให้ทำ subtitle ด้วย เพื่อให้คนที่เลื่อนผ่านเห็นคร่าว ๆ ว่าเรากำลังพูดอะไรอยู่ เพราะ คนดูวิดีโอ Facebook แบบไม่เปิดเสียงเยอะถึง 85% บางทีเราก็ปล่อยให้คลิปเล่นจนจบไปโดยที่ไม่ได้กดเข้าไปดูด้วยซ้ำ แค่หยุดเลื่อน Newsfeed
สิ่งนี้จะเกิดขึ้นบน YouTube ต้องอาศัยอะไรบ้าง คำตอบก็คงจะไม่ต่างกันมากนัก หลังจากที่ YouTube ได้ปรับหน้า Home ให้มีลักษณะเป็นเหมือน Newsfeed มากขึ้น สิ่งที่ auto-play บน YouTube จะประสบความสำเร็จได้ก็คงจะเป็นเรื่องการเลือกช่วงที่คลิปมานำเสนอ
- คนทำคลิปบน YouTube อาจจะไม่ได้เริ่มจากการเอาสิ่งที่น่าสนใจที่สุดขึ้นก่อนเป็นอันดับแรก แต่มี Intro ขึ้นก่อน
- บน YouTube การใช้งาน subtitle แบบของ YouTube กับการใส่เข้ามาเองในคลิปยังปะปนกันอยู่
- หลายคลิปบน YouTube ไม่มี subtitle ด้วยซ้ำ
สิ่งที่ YouTube ได้เขียนไว้ใน Use Autoplay on Home on Android and iOS คือการบอกให้ “ใส่แคปชั่นซะ” และแน่นอนว่า YouTube จะเล่นวิดีโอแบบ auto-play พร้อมกับการแสดงแคปชั่นเหมือนกับที่เราเห็น ๆ กันอยู่บน Facebook
และก็แน่นอนเหมือนที่มันควรจะเป็น ฟีเจอร์นี้สามารถเลือกที่จะเปิดหรือปิดได้ตามที่เราต้องการด้วย
หลังจากที่ได้เห็นความพยายามของ YouTube นี้ก็คงบอกได้เลยว่า YouTube นั้นชัดเจนแล้วที่พยายามจะปรับตัวไม่ใช่แค่ให้เป็นคลังวิดีโอ หรือ On-demand Video เท่านั้น แต่อยากจะเข้ามาเป็น Social Network ที่เชื่อมระหว่าง YouTuber หรือ Creator ให้ได้มาเจอกับคนดู มีการติดตาม บทสนทนา พูดคุย และพยายามรวมให้มาอยู่ในแอพแอพเดียวคือ YouTube จากเมื่อก่อนที่ แฟน ๆ อาจจะต้องไปตามอัพเดท YouTuber ที่ตัวเองชื่นชอบจาก Social Network อื่น ๆ เช่น IG, Facebook, Twitter การที่ YouTube จะกลายมาเป็นตัวกลางครบจบในแอพเดียวก็เป็นอีกหนึ่งในความท้าทายนึงเช่นกัน ไม่เช่นนั้น YouTube อาจจะแพ้ในครามวิดีโอแห่งยุคนี้ก็ได้
เรียบเรียงโดย ทีมงาน RAiNMAKER
